กล้องถ่ายภาพดิจิตอลไม่รู้เลยว่าภาพที่เรากำลังจะบันทึกนั้นสว่างหรือมืด ทำได้เพียงนำแสงที่กล้องมองเห็นไปเปรียบเทียบกับค่าที่ตั้งมาจากโรงงานซึ่งเป็นมาตรฐานสีเทากลาง (อยู่ระหว่างสีขาวและสีดำ) เพื่อตัดสินใจเอาเองโดยอัตโนมัติว่าภาพควรจะมืดหรือสว่าง แล้วอะไรคือสิ่งที่ถูกต้องในการวัดแสงกันล่ะ บทความนี้มีสิ่งที่กำลังมองหาอยู่แน่นอน
การทำความเข้าใจเกี่ยวกับเทากลางที่กล้องมองเห็น
ด้านล่างนี้คือภาพถ่ายภาพหนึ่ง ซึ่งประกอบไปด้วยสีสันจำนวนมากในภาพ เราอาจรู้สึกไปเองว่านั่นคือสีที่ถูกต้องแล้ว แต่เมื่อมองผ่านกล้องถ่ายภาพดิจิตอลกลับพบว่าภาพอาจจะมืดหรือสว่างไม่ถูกต้องเท่าที่ตาเห็นนัก อธิบายได้โดยแปลงให้ภาพสีเหล่านี้เป็นภาพโมโนโครม จะพบว่าส่วนต่างๆมีเฉดของสีเทาจำนวนมากประกอบอยู่ในภาพ
ภาพสีที่แสงจริงก็ผิด ความสว่างในส่วนต่างๆก็ผิด
เมื่อดูดสีออกจนหมด
การวัดแสงจากกล้องถ่ายภาพดิจิตอลนั้นไม่สามารถให้ค่าแสงที่ถูกต้องทั้งภาพ อันเนื่องมาจากข้อจำกัดของเทคโนโลยีและความแตกต่างในด้านการมองเห็นเมื่อเทียบกับตามนุษย์ เราจะเลือกให้กล้องมองเห็นค่าสีที่ถูกต้องได้เพียงจุดหนึ่ง, กลุ่มหนึ่ง หรือ โดยเฉลี่ยทั้งภาพ เท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นถ้าเรากำลังเล็งกล้องไปที่สีขาว กล้องจะลดความสว่างลงมาเป็นสีเทา หรือถ้าเรากำลังเล็งสีดำ กล้องจะเพิ่มความสว่างให้เป็นสีเทา พลอยทำให้จุดที่เราไม่ได้วัดนั้นได้รับแสงที่ผิดไปหมด
โหมดวัดแสงที่พบได้ทั่วไปในกล้องถ่ายภาพดิจิตอล
ถึงตรงนี้ผู้เรียนคงพอทราบปัญหาที่เกิดขึ้นจากกล้องถ่ายภาพดิจิตอล ที่ไม่สามารถวัดแสงได้ถูกต้องด้วยวิธีการอัตโนมัติแต่แรก แล้วจะทำอย่างไรสิ่งที่เรากำลังบันทึกจึงจะวัดแสงได้ถูกต้อง ก่อนอื่นขออธิบายถึงโหมดการวัดแสงที่มีในกล้องถ่ายภาพดิจิตอลทั่วไปดังนี้
โหมดวัดแสงเฉพาะจุด (Spot Metering) : โหมดวัดแสงนี้จะเลือกให้แสงที่ได้รับนั้นเป็นค่าเทากลางเฉพาะบริเวณกลางจอเพียงอย่างเดียว ไม่สนใจว่ารอบๆจะเป็นอย่างไร เหมาะกับการบันทึกภาพโดยที่วัตถุอยู่นิ่ง ไม่เหมาะกับการถ่ายภาพที่มีการเปลี่ยนแปลงของแสงไปมาบ่อยๆเพราะจะทำให้ผิดพลาดได้
โหมดวัดแสงเฉลี่ย (Evaluate Metering) : เป็นการวัดแสงโดยเฉลี่ยทั่วทั้งฉาก นั่นหมายถึงอาจจะไม่มีส่วนใดของภาพวัดภาพได้ถูกต้อง 100% เลยสักอย่าง ข้อดีของการวัดแสงในโหมดนี้จะทำให้รายละเอียดที่ปรากฏในภาพค่อนข้างตายตัวไม่เปลี่ยนแปลงไปมาเมื่อแสงมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ
โหมดวัดแสงเฉลี่ยหนักกลาง (Center-Weight Metering) : กล้องจะให้น้ำหนักความสำคัญกับวัตถุกลางภาพในลักษณะกลุ่มแสงที่กลางฉาก ซึ่งคล้ายๆกับการวัดแสงแบบจุดแต่จะมีการกระจายจุดวัดที่เฉลี่ยมากขึ้น ทำให้วัดแสงได้ดีขึ้นในกรณีที่วัตถุกลางจอมีความสว่างแตกต่างกันพอสมควร
การชดเชยแสง คือสิ่งจำเป็น
คงมีแต่ผู้บันทึกภาพเท่านั้นที่สามารถตัดสินให้ส่วนใดๆของภาพควรเป็นอย่างไร สิ่งใดในภาพควรได้รับค่าแสงที่ถูกต้อง โหมดการบันทึกภาพโดยส่วนใหญ่ที่ใช้ในชีวิตจริงของช่างภาพส่วนมากจะอยู่ในโหมดถึงอัตโนมัติ (Semi-Auto Mode) ไม่ว่าจะเป็น Aperture Priority หรือ Shutter Priority เป็นต้น เมื่ออยู่ในโหมดดังกล่าวนี้แล้วหลังจากการวัดแสงกล้องจะทำการคำนวนค่าตัวแปรอิสระที่โหมดนั้นปล่อยให้คำนวนเพื่อความพอดีของแสงที่ได้รับ หลังจากนั้นเมื่อผู้บันทึกคิดว่ายังไม่พอดี จึงต้องชดเชยแสงเพิ่มเติมไม่ว่าจะเป็นการชดเชยบวกกรณีภาพที่วัดได้มืดเกินไป หรือชดเชยลบกรณีที่ภาพสว่างมากเกินไป
สเกลลำดับขั้นในการชดเชยแสง
การชดเชยแสงในรูปแบบสเกลแอพพลิเคชั่นมือถือ
โหมด M จึงควรเป็นโหมดท้ายๆสำหรับช่างภาพมือใหม่ยังไงล่ะ
โหมด M นั้นจะไม่ให้การวัดแสงของกล้องมามีบทบาทในการบันทึกภาพเลยแม้แต่น้อย เพราะผู้บันทึกจะต้องตั้งค่าตัวแปรเองทั้งหมด แต่ก็ยังพอที่จะมีตัววัดบอกเอาไว้ว่าค่าที่กำลังตั้งอยู่ในขณะนั้นมืดหรือสว่าง โหมดนี้จะไม่สามารถใช้ค่าชดเชยแสงจากแป้น Exposure Value ของกล้องได้เลย ช่างภาพที่เป็นมือใหม่มากๆจะต้องจดจำอะไรหลายอย่างมากขึ้น จึงไม่แนะนำนักหากจะเริ่มถ่ายภาพด้วยโหมดนี้ตั้งแต่ต้น
โหมด M ใช้ในการล็อกแสงและค่าตัวแปรแบบตายตัว ไม่มีการปรับชดเชยแสงด้วยแป้นเฉพาะ
เราคือผู้กำหนดเองว่าภาพควรเป็นอย่างไร
การสร้างสรรค์ภาพนั้นความคิดของผู้บันทึกนับเป็นใหญ่ที่สุด จะถ่ายภาพให้มืดหรือสว่างจากความเป็นจริงก็คงไม่มีใครว่า ถ้าเรายอมรับว่ากล้องถ่ายภาพนั้นมองโลกที่ต่างไปจากตาเราเห็นแล้ว ที่เหลือก็เป็นความคิดสร้างสรรค์ที่เราจะออกแบบว่าทำอย่างไรภาพจึงจะน่าสนใจ เช่น ภาพถ่ายบางภาพควรจะให้สว่างๆจึงจะดี หรือภาพถ่ายบางภาพต้องมืดมากกว่านี้ เป็นต้น
ชดเชยลบเยอะมาก กว่าจะออกมาแบบนี้
ภาพนี้ต้องชดเชยบวกจนกว่าตัวรถจะเป็นสีขาว เพราะกล้องจะวัดเป็นสีเทา