การถ่ายภาพนั้นแตกแยกออกเป็นแขนงต่างๆซึ่งมีส่วนให้ผู้บันทึกภาพถูกควบคุมด้วยแนวทางต่างๆไว้อย่างมีนัยสำคัญ ยกตัวอย่างเช่น การถ่ายภาพแนวท่องเที่ยว หากเราเดินทางไปยังสถานที่ๆมีความยิ่งใหญ่อลังการของรายละเอียดส่วนมาก แสงก็ควรกระจายตัวทั่วทั้งภาพอย่างทั่วถึง
สนใจส่วนไหนแสงก็ควรกระจายในส่วนนั้นอย่างชัดเจน
แต่ถ้าเป็นสถานที่สำคัญ ซึ่งมีวัตถุที่น่าสนใจเพียงจุดๆเดียว เช่น อนุสาวรีย์, เจดีย์ หรือสิ่งต่างๆ ส่วนนั้นก็ควรมีรายละเอียดที่คมชัดในขณะที่ส่วนอื่นอาจจะมีความสว่างของแสงน้อยกว่า
แสงถูกกำหนดออกเป็นสองความหมายของภาพถ่าย คือ ปริมาณความเข้มแสง และ ทิศทาง รายละเอียดมีดังนี้
ปริมาณความเข้มของแสงส่งผลถึงความหนักเบาของภาพ ซึ่งนั้นหมายถึงอารมณ์ที่เกิดขึ้น ลองนึกถึงแสงที่ลอดผ่านหน้าต่างแล้วถูกกรองด้วยผ่านม่านอีกที กว่าจะกระทบลงมายังวัตถุเราอาจพบว่าแทบไม่เกิดเงาของวัตถุนั้นๆอยู่เลยคล้ายกับแสงอาทิตย์ที่ถูกทำให้กระจายความเข้มด้วยก้อนเมฆหนา เราเรียกแสงในลักษณะนี้ว่า ‘แสงนุ่ม’ มีความเปรียบต่างของภาพที่ต่ำ ให้โทนภาพและการไล่สีที่สวยงามนุ่มนวลสังเกตได้จากการที่ไม่พบเงาของวัตถุหรือตัวเราที่พื้น ยกตัวอย่างเช่น แสงในช่วง 1 ชั่วโมงก่อนพระอาทิตย์ขึ้น และ 1 ชั่วโมงก่อนพระอาทิตย์ตก
แบบนี้แสงแข็ง คอนทราสต์แรง
แต่ถ้าเป็นแสงแข็งความกระด้างและคมชัดของภาพจะเกิดขึ้น สีสันในภาพจะจัดจ้านรุนแรงกว่า ยกตัวอย่าง เช่น แสงในช่วงเที่ยงวัน หรือการยิงแฟลชจากหัวกล้องออกไป เนื่องจากแหล่งกำเนิดแสงนั้นมีขนาดเล็ก ทำให้ภาพที่ได้ค่อนข้างแข็งไร้ซึ่งมิติ
แสงนุ่มรายละเอียดจะเห็นชัดเกือบทั้งหมดเนื่องจากแสงกระจายอย่างทั่วถึง
และเราเองก็บอกไม่ได้ว่าระหว่างแสงนุ่มกับแสงแข็งนั้นอะไรดีกว่ากันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในการถ่ายภาพและความจงใจของผู้บันทึกว่าจะพึ่งพาประโยชน์ของแสงได้อย่างไร
ทิศทางของแสงเป็นตัวกำหนดเส้นทางที่เกิดขึ้นในภาพคล้ายกับเส้นนำสายตา คนจะมองส่วนใดในภาพแสงก็มีความจำเป็น ทิศทางของแสงแสดงถึงความเปิดเผยหรือแอบซ่อน ใช้บีบบังคับสายตาและสร้างความหลากหลายทางอารมณ์ รวมไปถึงดุลยภาพที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ใช้แสงกำหนดทิศทางไปยังจุดสนใจ
ต้องไม่ลืมว่าการสร้างจุดสนใจมีวิธีการและเทคนิคมากมายเพื่อทำให้การสื่อสารด้วยภาพของเราประสบความสำเร็จ แสงเป็นเหตุปัจจัยหนึ่งที่ช่วยให้การบอกเล่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์ เราอาจเลือกใช้ไม่ได้ทั้งหมด 12 อย่าง เลือกใช้ให้ดีตามสถานการณ์ครับ