ย้อนความไปยังบทสนทนาที่เคยเกิดขึ้นในสตูดิโอขนาดเล็กแห่งหนึ่งในนนทบุรี ว่าด้วยเรื่อง ‘เพลงที่ไม่มีการกระตุ้นพฤติกรรมใดๆต่อผู้ฟัง… หากแต่ฟังแล้วเกิดปัญญา’ สิ่งนี้ทำให้ฉุกคิดถึงเพลงหลายร้อยหลายพันเพลงที่ผ่านเข้ามาในความทรงจำตลอดช่วงชีวิตว่าเป็นความจริงที่เรามักฟังเพลงเศร้าได้เพราะขึ้นช่วงที่ผิดหวังกับความรักแต่ไม่ได้ทิ้งทางออกที่ดีงามไว้ให้ หรือใช้เพลงกระตุ้นให้เกิดการกระทำอย่างหนึ่งแล้วก็สิ้นสุดไปแบบห้วนๆ
แต่สิ่งที่อิมเพรสชันสตูดิโอสรรค์สร้างขึ้นมา เป็นการเข้าถึงความงามและความจริงด้วยปัญญาวุฒิจากผู้ประพันธ์ผ่านตัวโน้ตดนตรีที่สร้างบรรยากาศในทุกๆห้องและเนื้อเพลงที่ค่อนข้างเป็นสัจนิรันดร์ นั่นคือไม่ว่าระหว่างเพลงจะมีเนื้อหาอย่างไรสุดท้ายก็ยังคงความจริงอยู่เสมอ
ทั้งหมดนี้จึงทำให้เพลงทุกๆบรรทัดนั้นยากจะบอกได้ว่าควรอยู่ในยุคใด เพราะไม่ว่าจะฟังเมื่อไรก็ไร้กาลเวลาดังที่แจกแจงรายละเอียดไว้ดังนี้
หากเคยฟังเพลงลูกกรุงเก่าๆที่ไม่ว่าจะหยิบขึ้นมาฟังในยามใดก็หวนให้คำนึงถึงบรรยากาศและภาษาที่ไม่อาจซาบซึ้งได้ด้วยการฟังเพียงรอบเดียว (คนยุคนี้ต้องเรียกว่าแปลไทยเป็นไทยอีกที) ทำให้เกิดความยากในผู้ฟังที่ไม่แตกฉานในศัพท์ที่มีความหมายลึกซึ้ง
แต่ในอัลบั้มนี้คำศัพท์ที่ใช้ไม่ได้ยากจนเกินไป แถมช่วยให้ผู้ฟังมีพัฒนาการในการเข้าใจภาษาไทยที่มีความสวยงามได้ดียิ่งขึ้นจากการตีความอีกด้วย เช่น ‘แข็งแรงให้พอรอวันลงเรือล่องอีกที … ที่ขอบฟ้า…’ ในเพลง ‘รอวันที่ฉันไม่กลัวทะเล’ (Woman and Sea) หมายถึงการรอคอยจนกว่าจะสมหวังในรักอีกครั้ง เป็นต้น
สาระในแต่ละเพลงเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักที่ไม่กลัวการผิดหวัง (รอวันที่ฉันไม่กลัวทะเล – Woman and Sea), ความมั่นคงในความรัก (ที่รัก – Only You), การยอมรับในโชคชะตา (ให้ฟ้าลิขิต – Destiny of Love), การตระหนักถึงการตัดสินใจรักใครสักคน (หากบอกว่ารักฉัน – Before you say ‘Love Me’) เป็นต้น ผู้ที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนก็จะเรียนรู้บรรยากาศหรืออารมณ์นั้นผ่านบทเพลง ทั้งยังเป็นข้อคิดและแนวทางที่ใช้สอนใจได้ทุกยุคสมัย
รายการเพลงในอัลบั้ม Oopiib sings Impression 2
ตัวผู้เขียนเคยฟังอัลบั้ม Oopiib Sings Impression อัลบั้มแรกมาก่อน พบว่าการร้องค่อนข้างตายตัวไปตามห้องเพลง แม้เอกลักษณ์ของคุณพงษ์พันธ์ที่เด่นชัด คือ การเพิ่มศัพท์ที่มากกว่าปกติในห้องเพลงก็ตาม แต่โดยรวมทุกอย่างยังดูเรียบง่ายและสบายตามแบบแผน ซึ่งในอัลบั้มที่สองจะได้เห็นตัวตนของเพลงที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นกว่านั้น อธิบายง่ายๆ เช่น การร้องจบไปไม่พร้อมกับดนตรี (หน้าหรือหลัง) การแบ่งช่วงสั้นยาวที่ให้น้ำหนักไปกับอารมณ์มากกว่าที่จะแสดงความเป็นเลิศทางทักษะ ทำให้เหตุและผลหรือทฤษฎีหลักการอาจใช้ตัดสินไม่ได้ ผู้ฟังต้องใช้ความรู้สึกให้มากขึ้น สิ่งนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือเพลงมีความเป็นมนุษย์สูงมาก แต่ก็ต้องแลกด้วยการกระตุกความสนใจของผู้ฟังให้เกาะติดเพลงอยู่ตลอดเวลา (น่าจะเป็นข้อดีข้อที่สองมากกว่าเพราะไม่ใช่ฟังแล้วหลับ)
นอกจากนี้ยังมีรูปแบบของสัมผัสที่ไม่ลงจบตายตัว เหมือนอย่างที่เราเคยรับรู้มาจากการเรียนบทกลอน อาทิ การกระโดดไปสัมผัสอีกคำหนึ่งในวรรคถัดไป (แทนที่ควรจะสัมผัสได้แล้ว) กลายเป็นแนวคิดที่น่าสนใจขึ้นมา นั่นคือผู้ฟังที่มีความคิดเห็นในลักษณะนี้จะเกาะติดเพลงมากขึ้น หรือไม่ก็คงจะหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็จะลงสัมผัสได้ในอีกวรรคอยู่ดี
อีกเรื่องคือแนวเพลงแบบ คลาสสิก-ป๊อบ-แจ๊ส ในครั้งนี้มีความพิเศษตรงเครื่องดนตรีประเภทเคาะ (Keyboard Percussion) ที่ทำให้เพลงของมีความสว่างกังวาน-โอบล้อม พื้นที่ในเพลงดูอบอวลและแผ่ขยายออกไปมากขึ้น และที่สำคัญมีแทบทุกเพลง
หากลองพิจารณาเนื้อเพลงและตัวโน้ตที่เลือกใช้ในเพลงสักนิด จะพบว่ามีความรัก, ความจริง, ความหวัง, การให้อภัย หรืออะไรต่อมิอะไรซ่อนอยู่ในรายละเอียดเต็มไปหมดจนเป็นการยากที่จะบอกได้อย่างละเอียด
เหมือนกับการรับประทานอาหารที่อร่อย แต่ไม่สามารถบอกได้หมดว่าอร่อยเพราะอะไรบ้าง… จะเพราะเนื้อเพลงที่สวยงามหรือก็ไม่ใช่เสียทีเดียว อารมณ์ของศิลปินที่มีการใส่ความจริงใจออกมาก็ใช่ ไปจนถึงการออกแบบการวางตำแหน่งเสียงบันทึกของวิศวกรเสียง หรือความสามารถแบบไร้ที่ติของผู้ที่บรรเลงเครื่องดนตรีแต่ละชนิดที่ใส่เข้ามาในเพลง ล้วนมีจุดมุ่งหมายไปสู่ห้วงอารมณ์แบบต่างๆได้อย่างแยบคาย
เพลงที่เรียบเรียงมาอย่างดีย่อมจรรโลงใจศิลปินที่รวมกันสร้างสรรค์ขึ้นมาทำให้สิ่งที่พวกเขามีอยู่แล้วดีขึ้นไปอีก คล้ายๆกับการได้เล่นได้ทำสิ่งที่ตัวเองถนัดอย่างมีความสุข ส่วนตัวคิดว่าหากเป็นนักดนตรี การได้เล่นเพลงที่ถูกแต่งมาอย่างพิถีพิถันหรือการได้ใช้ความคิดของตัวเองมีส่วนร่วมด้วยนับเป็นเกียรติของผู้เล่นอยู่แล้ว นัยว่าจะเล่นได้ไม่เพราะเหมือนเดโม่ที่วางแนวทางมาด้วยซ้ำไป
เนื่องด้วยเพลงๆหนึ่งจากอัลบั้มอาจจะใช้เครื่องดนตรีจากวงออเครสต้าซึ่งมีหลายชนิด บันทึกแบบครั้งเดียวทั้งหมด ความเนี้ยบในแต่ละจุดคือความยากที่อัลบั้มดังกล่าวผ่านมาได้ เพราะต้องเล่นกันหลายรอบเพื่อเลือกรอบที่ดีที่สุดไม่มีการอัดแยก ผู้ที่เป็นส่วนประกอบในเพลงจะต้องไม่มีการผิดพลาดเกิดขึ้นเลย นี่ก็เป็นอีกจุดที่อิมเพรสชันเดิมพันไว้สูง แต่เชื่อแน่ว่ายังจะมีมากกว่านี้ได้อีกตามทัศนคติของศิลปินที่มักเอาชนะตัวเองทีละนิดในทุกๆวัน (ในมุมมองคนธรรมดาที่ได้ฟังเพลงเพราะอาจเรียกว่ามากพอแล้ว แต่ไม่ใช่กับคนทำผลงาน)
มีสองเพลงคือ ‘ที่รัก’ (Only You) ที่พอเป็นแบบเครื่องดนตรีเพียงอย่างเดียวจะมีชื่อเพลงว่า ‘เพียงเรา’ (Two of Us) และอีกเพลงคือ ดอกเอยดอกรัก (Flower of Love) ความชอบส่วนตัวนั้นถึงจะค่อนข้างปัจเจกแต่ก็ขออธิบายไว้ดังนี้
‘ที่รัก’ (Only You) : เพลงนี้ฟังบ่อยมากที่สุดในอัลบั้ม เหตุผลเล็กๆคือมีการใช้ภาษาอังกฤษเข้ามาด้วย (เพิ่งเคยได้ฟังเพลงไทย-อังกฤษ ในเพลงเดียวกันของอิมเพรสชันครั้งแรก) เรื่องสัมผัสนอกใน-อุปมาอุปมัยดีอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังเป็นเรื่องเนื้อเสียงเอกลักษณ์ที่หวานสะกดของคุณพชรมนที่ย่างก้าวไปพร้อมคีย์เปียโนที่คอยกำกับจังหวะ คลอด้วยไวโอลินเดี่ยว เป็นเพลงที่ใช้ความจริงของเสียงดนตรีเพียงไม่กี่ชิ้น ไม่ต้องอาศัยทักษะการฟังชั้นสูงก็รับรู้ได้ อีกทั้งเพลงไม่ได้เร็วกระชับจึงเกิดการยืดหดของห้องเพลงได้หลากหลาย ผู้ออกแบบเพลงไม่ว่าจะเป็นการร้องหรือเสียงดนตรีสามารถใส่เทคนิคเข้าไปได้อีก ฟังแล้วสบาย มีความสุขไม่ตึงเครียด ชอบมากที่สุดในอัลบั้ม
‘ดอกเอยดอกรัก’ (Flower of Love) : ความเด่นชัดในการเดินเพลงแบบไทยๆเพลงนี้เป็นมนต์เสน่ห์ที่ทำให้ต้องกลับมาละละเลียดคำด้วยการฟังบ่อยๆ เพลงดอกเอยดอกรักยังมีการเอื้อนที่ไม่มากไม่น้อย ชัดถ้อยชัดคำ กลมกล่อมพอดี พาลนึกถึงเพลงลูกกรุงเก่าๆ ซึ่งไม่คาดเลยว่าจะได้ฟังอีกในยุคปัจจุบัน
ทุกๆเพลงที่มีในอัลบั้มให้เทียบกันคงลำบาก เปรียบเสมือนเหมือนอัญมณีที่ต่างชนิดกัน อาจจะไปตรงจริตของผู้ฟังในอีกเพลง ขึ้นอยู่กับความรู้รสในศิลปะที่มีอยู่ในแต่ละตัวบุคคล
Oopiib Sings Impression 2 จึงเปรียบได้กับยามที่แพรทะเลกระทบเม็ดทราย มีประกายงามระยิบ ฟังแล้วรู้สึกได้ถึงความอิ่มเอิบ ดนตรีสวยงามหรูหรา จรรโลงใจตลอดจนถึงเพลงสุดท้าย มีความร่วมสมัยและยังทิ้งความเป็นไทยเอาไว้ได้อย่างน่าชื่นชม เป็น 1 ในอัลบั้มที่ไม่ว่าหยิบมาฟังกี่ครั้งก็เพลินไม่รู้เบื่อ