การพยายามศึกษาค้นคว้าถึงสาเหตุที่มาแห่งความงามนั้นมีมาตั้งแต่ยุคสมัยโบราณ โดยหลักแล้วแยกออกเป็นกลุ่มความเชื่ออยู่สองกลุ่ม กลุ่มแรกเป็นกลุ่มที่เชื่อว่า ความงามขึ้นอยู่กับการรับรู้ (Subjective) และ อีกกลุ่มเชื่อว่า ความงามเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้หรือมีความเที่ยงแท้ในตัวของมันเอง (Absolute, Objective)
เราจำเป็นต้องศึกษาเรื่องของ ‘ความงาม’ ของสิ่งต่างๆด้วยตรรกะที่พิสูจน์ได้
การเรียนรู้เกี่ยวกับ ‘ศิลปะแห่งการจัดองค์ประกอบ’ (The Art of Composition) เพื่อให้ภาพถ่ายเกิดความงามไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง, โครงสร้าง หรือสัดส่วน และอื่นๆ เราจึงต้องศึกษาในกลุ่มความเชื่อที่ว่า ‘ความงามเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้’ โดยการนำหลักการและเหตุผลซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์ และ สูตรทางคณิตศาสตร์เพื่อสร้างรูปแบบที่แน่นอน
ในอดีตกาลพบว่ามนุษย์นั้นมีความเชื่อเกี่ยวกับดวงวิญญาณและการเคารพบูชาในสิ่งที่มองไม่เห็น จนเมื่อวันเวลาผ่านเลยไป ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าแท้จริงแล้วความจริงในความไม่รู้นั้นเป็นเช่นไร วิถีชีวิตและความเชื่อต่างๆจึงได้เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางของเหตุและผลมากขึ้น ชี้ให้เห็นว่าแสงสว่างจากความรู้ช่วยชี้ทางแห่งชีวิตเมื่อเราต้องพบกับปัญหาที่ไม่สามารถอธิบายได้
เป็นปกติที่มนุษย์จะมีความรู้สึกแบบนี้
ข้อสังเกตอย่างหนึ่ง คือ สิ่งที่มนุษย์ไม่รู้มักกลายเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่ชอบตามไปด้วย อาจจะเป็นความหวาดกลัวต่อสิ่งนั้น เรารู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยต่อสิ่งที่มองไม่เห็นหรืออธิบายไม่ได้ ความไม่สะดวกสบายของหลายๆสิ่งที่ส่งผลทั้งร่างกายและจิตใจ, ความรู้สึกอึดอัด, ความยากลำบาก, ความตึงเครียด ฯลฯ เหล่านี้เป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่ชอบโดยจิตสำนึกพื้นฐาน และสิ่งที่มนุษย์ชอบก็เป็นอะไรที่ตรงกันข้ามกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด
ความงาม คือ สถานภาพของสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ก่อให้เกิดความเพลิดเพลิน และความชื่นชมผ่านการเข้าใจและรับรู้ถึงความสมดุล สัดส่วน และ แรงดึงดูด ของสิ่งๆนั้น ซึ่งอาจจะเป็นบุคคล สัตว์ สิ่งของ เหตุการณ์ สถานที่ ดนตรี ศิลปะ หรือ ความคิด ส่วนด้านตรงกันข้ามของความงามสร้างประสบการณ์อีกขั้วหนึ่ง เป็นผลกระทบด้านตรงกันข้ามกับการรับรู้อย่างสิ้นเชิง
ปัญหาคือ ‘แล้วอะไรคือเหตุแห่งความงามโดยธรรมชาติ?‘ ข้อถกเถียงนี้ทำให้เกิดข้อสรุปที่ว่า ความงามไม่ใช่ความคิดปัจเจกที่จะบอกว่าอะไรเป็นความงามก็ได้ขึ้นอยู่กับความเห็นของคนๆหนึ่ง แต่เป็นการทำความเข้าใจความงามโดยส่วนใหญ่ที่มนุษย์เข้าถึงได้ง่าย
ความงามทางการมองเห็นจึงเป็นเรื่องสากล มีความเป็นธรรมชาติอยู่ในตัว เป็นสิ่งที่มนุษย์พึงปรารถนาและรู้สึกดีเมื่อได้พบเห็น ก่อนที่จะงงมากไปกว่านี้ก็มีตัวอย่างของภาพวาดใบหน้าคนสองภาพให้ดู ลองพิจารณาว่าชอบภาพไหนหรือไม่ชอบภาพไหน
หน้าปกติ
สัดส่วนที่ไม่เป็นธรรมชาติ
และภาพคนที่เหมือนกันแต่มีสัดส่วนแปลกตาออกไป ตามประเภทที่ใช้เปรียบเทียบ
หน้าปกติ
สัดส่วนที่ไม่เป็นธรรมชาติ
คนส่วนใหญ่เริ่มรู้สึกแปลกๆกับใบหน้าที่ผิดรูปผิดร่างไม่ได้สัดส่วน แถมยังมีปัจจัยอีกหลายๆอย่างที่ทำให้รู้สึกเช่นนั้น ความแคบหรือความกว้างของหน้าทำให้คนที่เห็นรู้สึกอย่างไร, สีของดวงตาแบบไหนที่เรียกว่าสวย และอื่นๆที่เป็นข้อพิจารณาร่วม
สัดส่วนของใบหน้าที่ดีคือความสัมพันธ์ไม่ว่าจะเป็นระยะของคางถึงหน้าผากและจากดวงตาถึงหน้าผาก สัดส่วนจากคางถึงจมูกและจากปากถึงจมูก ทั้งหมดเป็นเรื่องของสัดส่วนที่เราจะได้พูดกันอย่างเชิงลึกในตอนถัดไป (เกี่ยวกับ Fibonacci Number และสัดส่วนธรรมชาติหรือสัดส่วนทอง)
ถึงตรงนี้ ก็มีคำถามมาถามเล่นๆกันอีกให้ลองนึกกันว่า ผิวหนังที่สวยงามควรมีลักษณะอย่างไร? สีสันเป็นแบบไหนและพื้นผิวควรเป็นแบบไหน?
เมื่อ “ความงาม คือ สัดส่วน” ไม่ว่าจะเป็นจากซ้ายและขวา, บนและล่าง, สั้นและยาว, สูงและต่ำ, กว้างและแคบ ฯลฯ ความงามเป็นพื้นฐานมาจากจิตสำนึก จากธรรมชาติของสิ่งที่พบเห็นและเข้าใจ ความงามเกิดจากการผสมรวมกันของสัดส่วนจากสิ่งต่างๆเข้าด้วยกันเป็นใบหน้าที่มนุษย์พบเห็นและเข้าใจว่าเป็นความงามในทุกวันนี้
เพียงแค่ตัวอย่างของสัดส่วนความงามบนใบหน้ามนุษย์ คงเพียงพอที่จะทำให้คุณคิดต่อไปยังสัดส่วนความงามที่มีอยู่ในธรรมชาติ เราจึงต้องศึกษาสัดส่วนและปัจจัยที่ก่อให้เกิดความงาม เนื่องจากว่า “เพราะการจัดองค์ประกอบ คือ กฏ และ กฏ ทำให้เกิดความงาม” ดังนั้นการจัดองค์ประกอบเพื่อให้เกิดความงาม จึงเป็นการจัดเรียงสิ่งต่างๆที่มีอยู่ให้เกิดสัดส่วนสวยงามตามภายใต้กฏพื้นฐานที่มีอยู่ตามธรรมชาตินั่นเอง