หลังจากได้ค้นคว้าข้อมูลตามบทความและกระทู้ที่กล่าวถึงข้อเสียของกล้องคอมแพค Sigma อย่างมากมาย ด้วยความอยากรู้จึงเสาะหาจนกระทั่งได้เจ้ากล้อง Sigma DP2 Merrill มาไว้ในครอบครองจนได้ จนถึงขณะที่กำลังพิมพ์อยู่ก็ผ่านไป 3 เดือนได้แล้ว และนี่คือประสบการณ์ในการใช้งานและความประทับใจทั้งเรื่องดีและไม่ดี (ยังไงกันนะ)
Foveon เซ็นเซอร์ที่ให้รายละเอียดดีมากที่สุดในขณะนี้
ก่อนอื่นคงต้องทำความเข้าใจกันสักนิดว่า เซ็นเซอร์ที่กล้องถ่ายภาพดิจิตอลโดยส่วนใหญ่ใช้กันอยู่ หรือที่เรียกว่า Bayer Sensor จะมีการเรียงตัวของชั้นฟิลเตอร์ แดง-เขียว-น้ำเงิน (RGB Color Filters) แบบสลับไขว้ไปมาในรูปแบบของตำแหน่งพิกเซลตาราง
ด้วยความที่ไม่ว่าจะตำแหน่งใดบนหน้าแปลนเซ็นเซอร์ก็ตามจะไวกับแม่สีแสงเพียงแม่สีเดียว ข้อมูลของแต่ละแม่สีที่ได้รับจึงไม่ใช่ความละเอียดแบบเต็มๆที่ควรจะได้รับ (พิกเซลสีเขียวจะวางมากเป็นสองเท่าของพิกเซลสีแดงและน้ำเงิน เพราะเป็นคลื่นแสดงที่รายละเอียดภาพได้ดีกว่า) ผลที่เกิดขึ้นจากการรับข้อมูลในลักษณะตารางประกบ ความชาญฉลาดของหน่วยประมวลจึงต้องรับหน้าที่นี้ไป ซึ่งก็ถูกพัฒนาจนออกมาได้ดีมากขึ้นในปัจจุบัน
แต่ Foveon ไม่เป็นแบบนั้น การเรียงตัวของชั้นฟิลเตอร์สีจะเป็นแบบเต็มๆซ้อนกันถึงสามชั้น คล้ายกับฟิล์มถ่ายรูปที่มีชั้นเคลือบความไวแสงครบทุกชั้นอยู่ในตัวเดียว ภาพที่ได้จึงเกิดจากการรับแสงแบบเต็มๆ 100% ในทุกชั้นฟิลเตอร์สี มีคนบอกว่าเป็นกล้องที่ให้รายละเอียดยิบย่อยได้เหมือนฟิล์มอย่างไม่น่าเชื่อ และรายละเอียดที่ซับซ้อนขนาดเล็กเช่นลายของเสื่อ หรือภาพตารางต่างๆก็ไม่มีข้อบกพร่องอย่างที่เซ็นเซอร์ทั่วไปพบเจอเลยแม้แต่น้อย
แค่เหตุผลด้านรายละเอียดนั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับการเป็นเจ้าของกล้องคอมแพคตัวนี้
แต่… Sigma DP2 Merrill กลับไม่ใช่กล้องที่คนทั่วไปจะพกถ่ายทั้งวันได้เลย
ถ้าไม่พูดกันถึงความหลงไหลในกล้องแบบส่วนตัว ผมก็คิดว่ามันเป็นกล้องที่คนที่คุ้นชินกับระบบของเทคโนโลยีในปัจจุบันไม่น่าจะทนอยู่ได้โดยไม่มีการบ่นอะไรออกมา ประมาณว่า ‘ถ่ายไม่ถึง 30 รูปด้วยซ้ำแบตหมดแล้วเหรอ’ หรือการโฟกัสในระดับที่เรียกว่าหมุนมือน่าจะเข้าเร็วกว่า
นอกจากนี้ความไวแสงที่ดูดีที่สุดสำหรับคอมแพคตัวนี้ คือ ISO ที่ 100-200 เท่านั้น อย่าหวังเลยว่าจะได้ภาพแบบที่แสงน้อย ถ้าฝึกมือนิ่งมาไม่มากพอ
ถ่ายแล้วต้องมานั่งเช็คว่ามันชัดหรือเปล่า แถมต้องพกแบตติดตัวอีก 3 ก้อน
Cr : Pongphop Chuanasa
กดชัตเตอร์แล้วก็รอไปอีกสักพัก เพื่อให้กล้องได้ทำการเขียนไฟล์ลงการ์ด
Cr : Pongphop Chuanasa
เมนูการใช้งานเรียกว่าทำออกมาได้ง่ายดีเป็นลูกศรบนล่างซ้ายขวาส่วนตรงกลางเป็นปุ่มตกลง ปุ่มดังกล่าวนี้ก็ใช้ควบคุมแทบทุกอย่างในหัวข้อเมนู ใช้งานไม่นานก็ชินไปเอง (ไม่ใช่เจ็บและชินไปเองนะครับ) ทื่อๆตรงไปตรงมา ดูจากรูปทรงแล้วก็สมควรที่เป็นแบบนั้น
White Balance โดยรวมไม่ได้ดีนักยิ่งถ้าจบด้วยไฟล์ JPEG จะเอาดีในเรื่องสีจากหลังกล้องไม่ได้เลย ต้องถ่ายเป็น RAW แล้วจูนสีกันพอสมควร แล้วไม่ใช่แค่จูนกันระดับธรรมดา แต่ต้องจูนเป็นอย่างยิ่งในส่วนของสีส้มแดง
แถม RAW ของ Sigma ก็ไม่ใช่ว่าจะเปิดในโปรแกรมแก้ไขภาพถ่าย RAW แบบที่กล้องทั่วไปจะเปิดใช้ได้
Sigma Pro Photo สำหรับการแก้ไขภาพถ่ายจากกล้อง Sigma
พอเป็นกล้องที่ใช้เซ็นเซอร์พิเศษมากกว่ากล้องทั่วไป โปรแกรมที่ใช้ถอดรหัสไฟล์ภาพจึงต้องแปลกแยกออกมาจากที่อื่นตามไปด้วย เรียกได้ว่าจนกระทั่งปัจจุบัน โปรแกรมที่ทาง DozzDIY เปิดสอนอย่าง Adobe Lightroom CC ก็ยังเปิดไฟล์จากกล้องตัวนี้ไม่ได้ เรียกว่าสร้างความลำบากลำบนพอสมควรครับ
ยิ่งถ้าเอา Sigma Pro Photo ไปเทียบกับ Lightroom ด้วยแล้ว ก็จะมองเห็นข้อเสียเต็มไปหมด เช่นไม่มีฟิลเตอร์สำหรับการโพรเซสหรือลูกเล่นอื่นๆอย่างที่ Lightroom ทำได้เลย การปรับแต่งเฉพาะพื้นที่หรือปรับแต่งเฉพาะจุดทำไม่ได้เลย
แต่สิ่งที่คุ้มค่ามากที่สุดที่มองเห็น ก็คือรายละเอียดของภาพที่เรียกได้ว่าคมชัดทุกอณู ไม่มีรอดไปได้จากเซ็นเซอร์ตัวนี้
โปรแกรมแปลงไฟล์ RAW ที่ว่านี้ดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ของ Sigma ได้โดยตรง
ภาพจากกล้อง Sigma ก็ต้องเปิดที่ Sigma Pro Photo
Iridient Developer ก็ใช้ได้ เอาไว้คัดภาพ
ความคิดเห็นส่วนตัวจากผู้สอนกับ Sigma DP2 Merrill
หลังจากลองใช้ไปได้สักพักแล้วก็ไม่เดือดร้อนกับการใช้งานกล้องตัวนี้เท่าไหร่ หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเจอความลำบากมาตั้งแต่สมัยกล้องฟิล์มแล้วก็ไม่รู้ สมัยนั้นก็ใช้ ISO เดียวเหมือนกัน ชัดมั่งเบลอมั่งก็ถูๆไถๆกันไป ภาพดีจากกล้องตัวนี้คิดเสียว่าเป็นกำไรของชีวิตแล้วกันนะ (ขนาดนั้นเลย)
ตอนซื้อมาแล้วรู้ว่ากล้องเป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกันจะได้ดัดนิสัยใจร้อนของตัวเอง เอาใจใส่กับการถ่ายภาพมากขึ้น ในช่วงแรกเอากล้องออกไปทั้งวันไม่ได้ภาพเลยก็มี คล้ายกับพกก้อนหินใส่กระเป๋ากางเกงไปยังไงยังงั้น ต่อมาพอชินก็ได้ภาพมากขึ้นจนรู้สึกว่าปกติ ท่ามกลางสายตาที่ไม่ปกติของเพื่อนที่ถ่ายภาพด้วยกันซะงั้น
ระยะ 30mm บนเซ็นเซอร์ APS-C ก็ราวๆ 45mm บนเซ็นเซอร์ฟูลเฟรมให้ภาพที่ยืดๆนิดหน่อย ถ่ายถ้วยถ่ายจานเผลอๆก็เบี้ยวเหมือนกัน ถ้าถามเรื่องว่ามีโอกาสแค่ไหนที่จะถ่ายเบลอ สำหรับผมแล้วที่ความเร็ว 1/ครึ่งหนึ่งของทางยาวโฟกัส (ประมาณ 1/22 วินาที) ยังพอมีทางบันทึกภาพให้นิ่งได้ถ้าหากว่าไม่ใช่ตอนเมาหรือใจสั่นเพราะกาแฟ ดังนั้นถ้าสภาพแสงไม่เลวร้ายมากจนเกินไปเช่นยืนอยู่ในถ้ำ มันก็น่าจะพกไปถ่ายทั้งวันได้ แน่นอนไม่มีใครทำกันหรอกถ้าไม่มีขาตั้งน่ะ
พระพุทธชินราชในโบสถ์ช่วงหัวค่ำ ก็ยังถ่ายได้แฮะ
1/25sec @f/2.8 ISO100, Sigma DP2 Merrill
กล้องยากๆแบบนี้จะพกถ่ายเช้ายันเย็นโดยไม่มีขาตั้งกล้องได้ไหม
ก็คงได้.. (มั้ง) ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันเลยลองพกไปถ่ายมาดังภาพคร่าวๆที่เห็นข้างล่างนี้ ภาพพวกนี้ไม่มีภาพไหนใช้ขาตั้งกล้องเลยแม้แต่ภาพเดียว แต่ใช้เทคนิคต่างๆเช่นการถือให้มั่น เอาผ้าพันมือ, เอาข้อศอกตั้งบนโต๊ะ อะไรต่อมิอะไรต่างๆมากมายเพียงเพราะไม่อยากพกขาตั้ง ฟังดูดีจังไม่พกขาตั้งแต่ความจริงลำบากมาก 555 (คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่)
1/25sec @f/8.0 ISO100
1/320sec @f/4.0 ISO100