ขึ้นชื่อว่า ‘พื้นที่’ จะเป็น ‘พื้นที่ว่าง’ หรือ ‘พื้นที่ไม่ว่าง’ ต่างก็มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้ภาพถ่ายมีความน่าสนใจขึ้นมา ถ้าคุณเคยฉุกคิดว่า ‘ฉันจะเอาวัตถุที่มีความน่าสนใจนี้วางไว้ยังส่วนไหนของภาพดีนะ’ การคำนึงถึงพื้นที่ก็จะมีบทบาทในการสร้างความสนใจกับภาพ ซึ่งบ่อยครั้งเราให้ความสนใจกับทัศนธาตุ (Visual Element) มากเกินไป จนทำให้ส่วนที่ไม่ใช่วัตถุนั้นถูกละเลยจนภาพไม่น่าสนใจได้
พื้นที่ว่าง หมายถึงส่วนใดๆในภาพที่มีความว่างเปล่า อาจจะหมายถึงช่องว่างระหว่างพื้นที่ผิว, ส่วนคั่นระหว่างสี หรืออาณาบริเวณทั้งหมดที่ไม่เกี่ยวข้องกับวัตถุในภาพนั้น ในกรณีของภาพถ่าย พื้นที่ปรากฏในแบบ 2 มิติ แต่สามารถให้ความรู้สึกแบบ 3 มิติได้ด้วยจินตนาการ
พื้นที่ว่างนับเป็น 1 ในองค์ประกอบที่ทำให้ภาพถ่ายสมบูรณ์ อาจจะไม่ใช่สิ่งที่มีความโดดเด่นมากมายนัก แต่เป็นส่วนเสริมบรรยากาศว่าพื้นที่โดยรอบนั้นเป็นอย่างไร อาจจะเป็นเพียงจุดที่ทำให้สายตาได้พักผ่อนบ้างก็ได้ในบางที
การจัดการพื้นที่นับเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ภาพถ่ายมีความสวยงามบริบูรณ์ กล่าวคือครบถ้วนไปด้วยองค์ประกอบต่างๆที่ช่วยให้วัตถุมีความโดดเด่น หลักๆที่ควรทราบมีดังนี้
กรอบภาพนับเป็นปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลในการวางวัตถุและเว้นพื้นที่ ปกติเราจะอยู่กันในกรอบข้อจำกัดของภาพถ่ายแบบสี่เหลี่ยมด้วยอัตราส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น 3:2, 4:3, 16:9, 1:1 และอื่นๆ ผลกระทบโดยตรงก็คือกรอบภาพดังกล่าวนั้นสร้างอารมณ์ที่ไม่เหมือนกันเสียด้วย
ขนาดของเฟรมเกี่ยวข้องกับการจัดองค์ประกอบของภาพถ่าย ซึ่งร่วมไปถึงการคำนึงถึงพื้นที่ว่างในภาพถ่ายด้วย เช่น ถ้าจะแสดงว่าต้นไม้มีความสูง เฟรมแบบ 16:9 แนวตั้งก็อาจจะมีความเหมาะสมกว่าแบบ 1:1 ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับเทคนิคอื่นๆที่ช่วยให้ผู้รับชมภาพเข้าใจว่ามันสูงอย่างไรด้วย
ด้วยธรรมชาติการมองภาพของมนุษย์อาจถูกฝึกสอนมาให้อ่านจากซ้ายไปขวาและบนลงล่าง ซึ่งนั่นก็ไม่ได้สำคัญเท่าไรนักถ้าเราเลือกจะวางวัตถุไปยังตำแหน่งใดๆแล้วให้พื้นที่ว่างในภาพช่วยบีบบังคับสายตา
เยื้องขวดไปทางซ้ายแล้ววางในตำแหน่งขวาของภาพสักนิด ก็ยังดีกว่าการวางไว้กลางภาพบ่อยๆจนดูน่าเบื่อ
ขนาดของภาพถ่ายนับเป็น 1 ในวิธีการให้ความสนใจกับภาพ และมีผลต่อพื้นที่ว่างโดยตรง เพราะถ้าวัตถุมีขนาดใหญ่พื้นที่ว่างจะน้อยลง และถ้าวัตถุมีขนาดเล็กพื้นที่ว่างจะมากขึ้น
การโคลสอัปภาพช่วยให้คนเพ่งไปยังรายละเอียดมากขึ้นและมีพื้นที่ว่างน้อยลง พิจารณาถึงความสำคัญของพื้นที่รอบๆให้ดี
ทิศทางเกิดขึ้นได้จากวัตถุที่มีทิศทางโดยตรง หรือสภาพแวดล้อมเป็นตัวกำหนดทิศทาง เช่น โขดหินที่อยู่ท่ามกลางกระแสน้ำไหลเชียว หรือ รถบนถนนที่มุ่งหน้าไปยังจุดๆหนึ่งปรากฎในภาพ
พื้นที่ว่างของภาพนี้คือการเคลื่อนไหวของน้ำที่ช่วยบอกว่าภาพนั้นมีทิศทางเป็นอย่างไร และถูกเบรกด้วยวัตถุที่มีความน่าสนใจอย่างไร
กรอบอาจเกิดขึ้นด้วยลักษณะทางกายภาพของวัตถุหรือตัวพื้นที่ว่างเองก็ได้ เช่น ท้องฟ้า, เส้นสาย, บานหน้าต่าง หรือพื้นที่ถนนหนทาง
พื้นที่ในตู้นั้นบีบบังคับให้เรามองเห็นสิ่งที่สว่างภายในเท่านั้น
การจัดการพื้นที่ว่างในภาพด้วยหลักดุลยภาพมีสองแบบหลักๆ คือแบบเท่ากัน (ดุลยภาพแบบสมมาตร) และแบบเสมือน (ดุลยภาพแบบอสมมาตร) เป็นสิ่งที่ต้องนำมาคิดทุกครั้งเมื่อต้องประยุกต์กฎใดๆเข้าไปในภาพถ่าย เพราะไม่เช่นนั้นอาจทำให้ผู้รับชมภาพรู้สึกหนักไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งได้ ยกตัวอย่างเช่น การวางคนที่หันไปทางขวาในทางด้านซ้ายของเฟรมภาพ จะรู้สึกว่ามีน้ำหนักน้อยกว่าการวางไปทางขวา ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในความรู้สึกจริงๆเมื่อรับชมภาพ
ดุลยภาพแบบสมมาตรจะเน้นความเท่ากันแบบสมบูรณ์ทั้งทิศทางและขนาด อาจเรียกได้ว่าเท่ากันในทุกมิติของภาพซึ่งบางครั้งเมื่อความคาดหวังสมบูรณ์แบบของผู้ชมได้เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆก็อาจกลายเป็นความน่าเบื่อไปได้ เพราะโดยธรรมชาติแล้วนั้นความเท่ากันแบบ 100% มักไม่ค่อยจะเกิดขึ้นได้จริงๆสักเท่าไหร่
ภาพนี้จริงๆก็ไม่ได้เข้ากฎสมมาตรเสียทีเดียว อย่างที่บอกว่าการถ่ายภาพในชีวิตจริงให้สมบูรณ์แบบตลอดนั้นอาจต้องจงใจจริงๆ หรือใช้การแก้ไขปรับแต่งภาพค่อนข้างมาก
ดุลยภาพแบบอสมมาตรเป็นดุลยภาพที่ทำให้ผู้รับชมเกิดความตึงเครียดได้น้อยกว่าดุลยภาพแบบสมมาตร เพราะเป็นการเทียบเคียงที่ต้องอาศัยจินตนาการจากช่องว่างทางความคิดที่เกิดขึ้นของผู้รับชม กล่าวคือถ้าภาพสมบูรณ์อยู่แล้วก็ไม่ได้คิดต่ออะไร แต่ถ้ามีการเว้นให้ผู้รับชมได้มีกิจกรรมกับภาพ การรับชมก็จะใช้ระยะเวลานานขึ้น และยังเป็นกลวิธีที่ใช้ได้ผลดีเมื่อพื้นที่ว่างต่างๆในภาพไม่ได้เอื้ออำนวยต่อความสมบูรณ์แบบจริงๆ
คนที่อยู่ทางขวาล่างหันไปทางซ้าย และศาลาที่อยู่ซ้ายบนหันไปทางขวาทำให้รู้สึกว่าภาพนี้ไม่ได้หนักไปทางด้านใดด้านหนึ่ง และทั้งหมดมีดุลยภาพบนล่างด้วยความมืดสนิทของฉากเพื่อมุ่งเน้นให้สนใจที่วัตถุในภาพ
ผู้สอนได้เคยอธิบายไว้ในหลักสูตร ’ศิลปะแห่งการจัดองค์ประกอบภาพถ่าย’ เอาไว้เกี่ยวกับหลักการจัดองค์ประกอบว่า ให้เราจดจำกฎโครงสร้างออกเป็นสองแบบ นั่นคือ กฎที่เกิดขึ้นจากสัดส่วนทองคำ และ กฎที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากสัดส่วนทองคำ ในทุกๆกฎได้กล่าวถึงตำแหน่งของการวางจุดสนใจเอาไว้แล้วว่าควรเป็นอย่างไร ดังนั้นพื้นที่ตรงข้ามมักเป็นพื้นที่ว่างซึ่งส่วนมากก็เป็นพื้นที่เชิงลบเอาไว้เติมเต็มดุลยภาพให้กับภาพนั่นเอง
กฎที่สร้างขึ้นด้วยอนุกรมฟีโบนัชชีแล้วแปลงออกมาเป็นอัตราส่วนทองคำ (แปลงเป็นกราฟคือการวิ่งเข้าใกล้ค่า 1.618) ได้แก่ โครงสร้างฟีกริด, โครงสร้างสามเหลี่ยมทองคำ, โครงสร้างวงโค้งก้นหอย ไปจนถึงกฎอนุโลมอย่างจุดตัดเก้าช่องที่มาจากฎสามส่วนอีกที
วางภาพแบบฟีกริดโดยใช้หน้าต่างเป็นวัตถุกับเฟอร์นิเจอร์เก้าอี้นวม
หมายถึงกฎที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับค่าอัตราส่วนทองคำเลย มักเกิดขึ้นจากความเชื่อและอิทธิพลทางขนบธรรมเนียมทางสังคม เช่น โครงสร้างแบบไม้กางเขน, โครงสร้างแบบส่วนเหลี่ยม ฯลฯ พื้นที่ว่างก็จะหมายถึงส่วนที่ไม่ใช่ หรือบทกลับของกฎโครงสร้าง
การวางจุดที่น่าสนใจในทิศทางแบบแกนตั้งบนเส้นแกนนอน
พื้นที่เชิงลบหมายถึงพื้นที่รอบวัตถุที่ไม่ได้สร้างความสนใจแย่งไปจากวัตถุ และไม่สามารถกำหนดรูปร่างให้ตัวมันเองได้ด้วยตาเปล่าแต่มีบทบาทในการสร้างบรรยากาศให้กับภาพ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าพื้นที่เชิงลบในภาพมีน้อยจะสร้างความรู้สึกอึดอัด แต่ถ้ามีมากจะสร้างความรู้สึกเวิ้งว้างว่างเปล่า ดังนั้นการเลือกใช้พื้นที่ลบให้เกิดประโยชน์สูงสุดในภาพจึงต้องมีการกำหนดปริมาณพื้นที่ไว้ให้ดีๆ
ใช้พื้นที่เชิงลบมากๆ ก็จะรู้สึกว่างๆเบาๆ ดังเช่นในภาพ
เห็นได้ว่าพื้นที่นั้นมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้ภาพถ่ายภาพหนึ่งมีความน่าสนใจทั้งยังช่วยสร้างบรรยากาศโดยรอบให้ผู้รับชมภาพไม่รู้สึกอึดอัดจนเกินไป ซึ่งการใช้งานก็ต้องศึกษาวิธีการเพื่อนำความเป็นไปได้มาใช้ในภาพให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด