เมื่อโลกตัดสินใจเลือกความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีให้ให้อะไรๆก็ตามเกี่ยวข้องกับดิจิตอลไปเสียทั้งหมด คำถามที่ว่า “จำเป็นแค่ไหนที่ฉันจะต้องเรียนรู้เรื่องพวกนี้” จึงตกไป ในบทความนี้ผู้สอนจะยกตัวอย่างให้เห็นว่าภาพแบบ 16 บิตส่งผลต่อคุณภาพของไฟล์ภาพในการไล่สีอย่างไร แล้วต่างกันมากแค่ไหนกับภาพที่เห็นๆกันอยู่ในแบบ JPEG บนเว็บไซต์นี้
Bit Depth คืออะไร?
Bit คือ หน่วยที่ใช้แสดงผลข้อมูลในทางดิจิตอล ดังนั้น Bit Depth จึงใช้ในการอธิบายจำนวนบิตที่เกี่ยวข้องกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่น ถ้าเป็นเรื่องของเสียงก็ใช้แสดงถึงความละเอียดของช่วงคลื่นเสียง และถ้าเป็นภาพถ่ายก็หมายถึงความลึกหรือความมีมิติ (มีค่ามากก็มีมิติมาก)
Bit Depth คือความเป็นไปได้มากที่สุดที่ภาพๆหนึ่งจะมีสีอยู่ในภาพนั้นได้เท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าภาพนั้นจะต้องมีการแสดงผลได้เต็มที่ทุกสี เป็นเพียงการบอกว่าภาพที่มี Bit Depth มากกว่า ก็มีความละเอียดในการไล่เรียงสีได้ดีกว่าเท่านั้น
ภาพถ่ายดิจิตอลถือเป็นภาพประเภทราสเตอร์ ประกอบด้วยพิกเซลแสดงผลของสีซึ่งเกิดจากแม่สีแสงสามสีด้วยกัน ได้แก่ แดง, เขียว และน้ำเงิน ในแต่ละแม่สีเรียกว่า ‘แชนเนลสี’ (Color Channel)
ภาพแบบ JPEG แสดงผลได้ที่ 8 bit per channel
การแสดงเฉดสีที่ละเอียดขึ้นเมื่อมีค่าบิตเพิ่มมากขึ้น ที่มา : RealworldRetouching
bits per channel และ bits per pixel ต่างกันอย่างไร?
มีหลายคนสงสัยว่า bits per channel มีความแตกต่างกับ bits per pixel อย่างไร ขออธิบายความหมายของคำทั้งสองอย่างสั้นๆไว้ดังนี้
– bits per channel คือ ค่า Bit Depth ของแต่ละแชนเนลสี
– bits per pixel คือ ค่าผลรวมจำนวนบิตของทั้งสามแชนเนลสี
ยกตัวอย่าง : กล้องถ่ายภาพดิจิตอลส่วนใหญ่ ให้ความละเอียดภาพที่ 8 bits per channel หมายความว่าในแต่ละแชนเนลสีสามารถแสดงความเข้มข้นของในแต่ละแม่สีได้ถึง 2x2x2x2x2x2x2x2 = 256 หน่วย ซึ่งถ้าคิดเป็น bits per pixel ที่ต้องรวมทั้ง 3 แม่สีหลักเข้าด้วยกันเพื่อแสดงๆจำนวนเฉดสีมากที่สุดที่เป็นไปได้นั้น จะได้เป็น 2^(8×3) = 16,777,216 เฉดสีเลยทีเดียว
ภาพแบบ 16 บิตนั้นมีความยืดหยุ่นสูงกว่าแบบ 8 บิตอย่างไร..
1. สร้างงานใหม่ขึ้นมาสองงานใน Photoshop ขนาดใดก็ได้ เทสีแบบแถบสีดำไปขาว (Gradient) ลงไป ให้งานแรกเป็นการทำงานแบบภาพ 8 บิต งานที่สองเป็นการทำงานกับภาพแบบ 16 บิต
เราจะใช้สีเกรเดียนท์ทดสอบ
ไปที่ Image > Mode
2. กด Control + L (win)/ Command + L (mac) เพื่อเปิดหน้าต่าง Levels Editor ขึ้นมา ให้ใส่ค่า Output สีดำที่ 120 สีขาวที่ 140 แล้วกดตกลง
3. สิ่งที่ผู้เรียนจะเห็นในตอนนี้คือสีเทาที่ไม่ต่างอะไรกันเลยไม่ว่าจะเป็นหน้าต่างของภาพแบบ 8 บิท และ 16 บิท
4. เปิดหน้าต่าง Levels ขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ให้ใช้สเกล Input Levels ดึงสเกลสีดำไปทางขวา และดึงสเกลสีขาวไปทางซ้ายให้ชิดที่สุดแถวขอบฮิสโตแกรม ทำอย่างนี้ทั้งสองหน้าต่างจะพบว่า หน้าต่างของภาพ 8 บิต เกิดพิกเซลแตกเป็นช่องค่อนข้างชัดเจน
ยืดสีออกด้วย Input Levels
เรียกว่ายืดแล้วยืดอีกจนเห็นขีดจำกัด
ด้านบนคือ 8 บิต ด้านล่างคือ 16 บิต
เหตุผลก็ง่ายๆ เพราะสายตาของมนุษย์จะไม่สามารถแยกแยะอะไรที่มีความแตกต่างน้อยมากๆได้จนกระทั่งเราบีบมิติของเฉดสีให้ไล่เข้ามาจนถึงขีดจำกัดของภาพแบบ 8 บิต ในขณะที่ภาพแบบ 16 บิตยังมีช่วงสีที่กว้างอยู่มาก
สรุปได้ว่าในขณะที่เรากำลังถ่ายภาพแบบ RAW ไฟล์ จำนวนบิตที่มากกว่า 8 ก็ย่อมที่จะแสดงผลได้เนียนละเอียดกว่าเป็นไหนๆ (RAW บางค่ายก็มีตั้งแต่ 12, 14 บิท ปัจจุบันก็อาจจะสูงกว่านี้) และใน Photoshop ก็มีการขยายโหมดเป็น 16 bit (LR ก็ด้วย) สิ่งที่เราจะใช้ประโยชน์ได้จากโปรแกรมทำภาพนี้ก็คือแปลงให้เป็นภาพแบบ 16 บิทในขณะที่ปรับแต่งภาพ แล้วเมื่อแต่งภาพเรียบร้อยให้เซฟเป็น 8 บิต ไฟล์จะเสียหายน้อยกว่านั่นเอง
Lightroom Preset จาก DozzDIY
[bsa_pro_ad_space id=7]
[bsa_pro_ad_space id=8]