วิธีทำให้ภาพถ่ายดิจิตอลเหมือนภาพถ่ายฟิล์มแบบ 100%

เรียนรู้วิธีการที่จะทำให้ระบบบันทึกภาพถ่ายแบบดิจิตอลออกมาเหมือนกับภาพถ่ายที่เกิดจากกล้องฟิล์มแบบ 100% ใช่..มันเป็นไปได้ ว่าแต่คุณพร้อมหรือเปล่าที่จะเลือกเส้นทางนี้?

มักมีคนกล่าวว่า ‘เมื่อไหร่ที่คุณเริ่มคิดถึงอดีต.. แสดงว่าคุณเริ่มแก่แล้ว’ คำกล่าวนี้เหมือนจะติดตลกอยู่นิดๆ แต่ถ้าเป็นเราเองก็คงไม่สนว่าใครจะคิดอย่างไรหากมันเป็นอดีตที่มีความสุขและปัจจุบันก็ไม่ได้ใกล้เคียงคำเหล่านั้นสักเท่าไหร่นัก

ยุคของกล้องฟิล์มนั้นเต็มไปด้วยความไม่สมบูรณ์แบบหลายๆอย่าง ตั้งแต่การบรรจงตั้งค่าเพื่อกดชัตเตอร์ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดอย่างอดทน ไปจนถึงเฝ้ารอภาพที่ถ่ายจากร้านรับล้างอัดอย่างมีความหวังว่าจะออกมาเป็นเช่นใด

ความลำบากกลายเป็นความทรงจำที่มีคุณค่ายิ่งในชีวิตของช่างภาพยุคนั้น

ภาพถ่ายจากกล้องฟิล์มด้วย Kodak Portra 400 | ที่มา https://www.lomography.com/films/871910984-kodak-portra-400/

เรื่องของรายละเอียดและสีสันที่เป็นเอกลักษณ์ ได้ถูกฝังและบันทึกประวัติศาสตร์เอาไว้อย่างคลาสสิกข้ามกาลเวลา จนเป็นภาพจำว่าภาพแบบนี้สีแบบนี้คือความเก่าแก่ และมีคุณค่า

เมื่อเข้าสุ่ยุคดิจิตอล ยุคที่เต็มไปด้วยความสมบูรณ์แบบในหลายๆอย่างที่ฟิล์มไม่สามารถทำได้อย่างง่ายๆ กลายเป็นว่าความง่ายได้ทำลายเสน่ห์หลายๆอย่างลงไป และก็มีกลุ่มคนไม่น้อยที่อยากชุบชีวิตสิ่งเหล่านั้นให้เกิดขึ้นอีกครั้ง

บทความนี้ คือเนื้อหาทางเทคนิคที่ทำให้ภาพถ่ายดิจิตอลเหมือนภาพถ่ายฟิล์มมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ว่าเราควรทำอย่างไรหากอยากให้ภาพถ่ายดิจิตอลเหมือนภาพถ่ายฟิล์ม ตั้งแต่ประเภทของเซ็นเซอร์รูปภาพ ไปจนถึงหลักคิดในการตกแต่งภาพถ่าย

1. เลือกใช้กล้องที่ใช้เซ็นเซอร์รูปภาพหลักการเดียวกับฟิล์ม

กล้องดิจิตอลในปัจจุบันมากกว่า 90% ของท้องตลาดใช้เซ็นเซอร์รูปภาพแบบเบเยอร์ (Bayer Sensor) ซึ่งมีความบกพร่องในการเก็บรายละเอียดแม้ว่าปัจจุบันจะมีหน่วยประมวลผลและปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วยคาดเดาสิ่งที่ควรมีในภาพ รวมไปถึงการเพิ่มขนาดเพื่อครอบคลุมพื้นที่มากขึ้น เทียบกับฟิล์มซึ่งเป็นการเก็บค่าความถูกต้องแบบ 100% ในทุกๆจุด ไม่ว่าใครก็เดาได้ไม่ยากว่ารายละเอียดในภาพจะต้องไม่เหมือนกัน

เซ็นเซอร์รูปภาพแบบเบเยอร์ : ความถูกต้องน้อยจึงใช้ AI คำนวนเพิ่มเติมเพื่อความแม่นยำ

แล้วกล้องในท้องตลาดมีตัวใดที่มีหลักการบันทึกภาพเดียวกันกับฟิล์ม?

คำตอบคือ กล้องที่ใช้เซ็นเซอร์แบบโฟวิยง และต้องเป็นโฟวิยงแบบ 100% นั่นคือ Sigma SD1 Merrill และซีรี่ย์ DP Merrill ได้แก่ Sigma DP1–2–3 Merrill มีเพียง 4 ตัว (SD15 เก่าเกินไปหาซื้อยากมากๆแล้ว)

กล้องซีรี่ย์ Merrill จาก Sigma เซ็นเซอร์โฟวิยงเต็มรูปแบบที่ยังหลงเหลืออยู่ในปัจจุบันแต่ก็น้อยมากแล้ว (เลิกผลิตแล้วทุกตัว)

สิ่งที่เหมือนกันระหว่างเซ็นเซอร์ประเภทนี้กับฟิล์ม เป็นการรับแสงแบบถูกต้อง 100% ทุกจุดในเฟรมภาพ ดังนั้นมันจึงตัดเรื่องของหน่วยประมวลผลเพื่อทดแทนความบกพร่องพิกเซลที่ขาดหายไปได้อย่างสมบูรณ์ ง่ายๆคือรับรายละเอียดได้ถูกทุกจุดแล้ว AI ก็เลยไม่จำเป็นครับ

2. การตกแต่งภาพที่เหมือนฟิล์ม

ตรงนี้อาจจะยากสำหรับผู้ที่ไม่ได้ทำงานเกี่ยวกับการแต่งภาพหรือออกแบบสเกลโดยตรง แต่ขอให้เข้าใจง่ายๆว่าการบันทึกภาพแบบดิจิตอล เป็นไปเพื่อเก็บรายละเอียดให้ได้สูงสุดและคุณภาพดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้สำหรับไฟล์ภาพต้นฉบับ เพราะการแต่งภาพ (หมายถึงการแต่งภาพให้เหมือนฟิล์ม) จะเป็นการยืดข้อมูลและตัดทอนให้เสียหายในระหว่างกระบวนการ ถ้าภาพต้นฉบับมีคุณภาพสูงก็สามารถทำได้ง่ายกว่าภาพที่บันทึกมาไม่ดีตั้งแต่ต้น

กล้องดิจิตอลที่มีแนวคิดเดียวกับกล้องฟิล์ม และกระบวนการทำภาพแบบฟิล์ม เมื่อสั่งพิมพ์ออกมาแล้วดูใกล้ๆแยกแทบไม่ออกเลยว่าต่างกันอย่างไร

นี่จึงเป็น 2 วิธีการหลักที่ทำให้ได้ภาพถ่ายที่เหมือนฟิล์มจริงๆ หลายท่านคงมองว่าแล้วถ้าไม่ได้ใช้กล้องดังกล่าวข้างต้นก็ไม่มีทางเหมือนเลย คำตอบคือไม่จำเป็นต้องใช้กล้องตามที่แนะนำครับ ใช้กล้องที่เราถนัดมากที่สุดนั่นแหล่ะ เพราะบทความนี้กล่าวถึงการให้ได้มาซึ่งภาพแบบฟิล์ม 100% ก็เลยต้องกำหนดขอบเขตอุปกรณ์และวิธีการให้ได้มากที่สุด

บทความที่เกี่ยวข้องในหมวดนี้
ความแตกต่างระหว่างภาพ 8 บิต และ 16 บิต

ภาพถ่ายแบบ 16 บิต มีทางเลือกให้ช่างภาพเวลาตกแต่งแก้ไขอย่างมหาศาล แต่ 8 บิตเองก็มีข้อดีถ้าเรานำมาใช้ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม บทความนี้จึงเป็นการพิสูจน์ความืดหยุ่นและคำแนะนำวิธีเลือกใช้งานที่ถูกต้อง

เกรนกับความคมชัดของภาพถ่าย

ถ้าเพิ่มเกรนน้อยเกินไปภาพก็ดูเหมือนจะไม่มีความแตกต่าง แต่ถ้าใส่มากเกินไปภาพก็แข็งกระด้าง ดังนั้นควรมีเกรนในปริมาณเท่าใดในภาพจึงจะช่วยให้ภาพดูดีขึ้น และใช่ เรากำลังพูดถึงเกรนในมุมที่เกี่ยวข้องกับความคมชัดของภาพถ่ายครับ

เราจะตรวจสอบจุดล้นของภาพไปทำไม?

อุปกรณ์รับชมภาพถ่ายไม่ว่าจะเป็นหน้าจอหรือกระดาษต่างก็มีคุณสมบัติในการถ่ายทอดสีสันรวมไปถึงจุดสว่างที่สุดไปยังจุดมืดที่สุดในภาพแตกต่างกัน การแสวงหาความถูกต้องที่สุดในการมองเห็นแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่หาความเป้นมาตรฐานได้ยาก แต่เราก็ยังพอรับรู้ได้ว่าอะไรคือขีดสุดของรายละเอียดที่กำลังปรากฏในขณะนั้นก่อนจะนำไปสู่อุปกรณืหรือแหล่งเผยแพร่อื่น ดังที่เรียกว่า จุดล้นของภาพ หรือ Clipping Point ใน Adobe Camera RAW นี้

ร้านค้าออนไลน์ภายใต้ชื่อผู้ก่อตั้ง ‘Dozzo Flamenco’ ที่นี่จะมีผลิตภัณฑ์สื่อการสอนและเทรนนิ่งคลาสระดับคุณภาพเท่านั้น

บทความล่าสุด >>
เคล็ดลับการถ่ายภาพหมู่บุคคล

ศึกษากลวิธีที่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยหลักของเหตุและผลในการทำให้ภาพถ่ายหมู่ที่มีบุคคลจำนวนมากในเฟรมมีความน่าสนใจกว่าที่เคย

5 เหตุผลที่ช่างภาพอาชีพควรเรียน Lightroom Classic

Lightroom Classic มีจุดเด่นสำคัญในการบริหารจัดการรูปภาพ ตกแต่งรูปภาพ และเผยแพร่รูปภาพอย่างครอบคลุมทั้งระบบ คุณสมบัติเหล่านี้ช่วยให้ช่างภาพมีความสะดวกในการบริหารจัดการยิ่งต้องเจอกับรูปภาพที่เพิ่มเข้ามาจำนวนมากในแต่ละเดือน

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรังปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลวส่วนบบุคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึกการตั้งค่า