อุณหภูมินั้นเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ตลอดตั้งแต่เช้าจรดเย็น เราเริ่มรู้สึกได้ของการตื่นตัวเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้า และชัดเจนมากที่สุดเมื่อยืนอยู่ท่ามกลางบรรยากาศของแสงกลางวัน อุณหภูมิส่งผลต่อการมองเห็นและสภาพอารมณ์อย่างผสมกลมกลืน สิ่งที่เราเห็นและรู้สึกอยู่อย่างตลอดชีวิตนั้นกลายเป็นความเคยชินว่าหากเราจุดไฟในที่มืดก็จะเริ่มมองเห็นสิ่งที่หลบซ่อน เรารู้สึกว่าความอบอุ่นสว่างไสวช่วยขจัดความกลัวที่เย็นยะเยือก ทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกัน
วงล้อสีเกิดจากแม่สีวัตถุธาตุนำมาผสมซึ่งกันและกัน 3 ครั้ง จนได้สีออกมาทั้งหมด 12 สี โดยที่สีระดับปฐมภูมิ (Primary Colors) ได้แก่ แดง, เหลือง และ น้ำเงิน สีระดับทุติยภูมิ (Secondary Colors) ได้แก่ ม่วง, ส้ม และ เขียว และสีในระดับตติยภูมิ (Tertiary Colors) ได้แก่ ม่วงแดง, ม่วงน้ำเงิน, ส้มแดง, ส้มเหลือง, เขียวน้ำเงิน และ เขียวเหลือง ในที่สุด
ต่อมาเราแบ่งสีออกเป็นสองกลุ่มได้แก่กลุ่มสีที่มีความร้อน (สีวรรณะร้อน) และกลุ่มสีที่มีความเย็น (สีวรรณะเย็น) โดยเส้นคั่นกลางระหว่างการแบ่งวรรณะนั้นทับไปที่สีม่วงและเหลืองหมายความว่าสีทั้งสองเป็นได้ทั้งสองวรรณะขึ้นอยู่ว่าภาพโดยส่วนใหญ่มีสีวรรณะใดเป็นส่วนมาก
ลืมเรื่องวงล้อสีอะไรนั่นไปก่อน คราวนี้เราลองมาดูภาพตารางสีอย่างง่ายสักกลุ่มหนึ่ง ทำการดูดความอิ่มตัวของสีทุกสีในตารางออกไปจนหมด พบว่าบางสีเป็นสีเทาที่ค่อนไปทางขาว และบางสีกลายเป็นสีเทาที่มืดกว่า ซึ่งทำให้พอเข้าใจได้ว่าหากเราแปลงภาพถ่ายเป็นภาพขาวดำจะมีส่วนใดสว่างหรือมืดอยู่บ้าง
การที่สีวรรณะร้อนโดยส่วนใหญ่มีความสว่างกว่าสีวรรณะเย็นเมื่อถูกดูดสีออกไปหมดนั้น เราสามารถนำความรู้นี้มาประยุกต์การบันทึกภาพเพื่อช่วยให้เก็บรายละเอียดได้มากขึ้น (ด้วยการตั้งค่าสมดุลแสงขาวเบื้องต้น) กรณีที่ต้องการหลีกเลี่ยงค่าความไวแสงที่มากขึ้น หรือใช้สมดุลแสงขาวในการเคลื่อนไปในทางร้อนหรือเย็นเพื่อออกแบบภาพถ่ายให้รู้สึกว่าสว่างหรือมืดได้ด้วย
ในการออกแบบสีของฟิล์มพบว่าการทำให้ภาพเย็นลงส่งผลให้รู้สึกว่าภาพมืดลงด้วย
อีกนัยหนึ่งภาพถ่ายประเภทดูโอโทนที่มีสีเจือลงไปในส่วนสว่างและส่วนเงาของภาพแบบสองสีนั้น หากเราใช้สีร้อนเจือลงไปในส่วนสว่างและสีเย็นเจือลงไปในส่วนมืด เราจะรู้สึกว่าภาพนั้นดูไม่น่าหงุดหงิดใจเท่าการนำเอาสีเย็นเจือลงไปในส่วนสว่างและสีร้อนเจือลงไปในส่วนมืด ตอบได้ไหมครับว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?