ความแตกต่างระหว่างภาพ 8 บิต และ 16 บิต

ภาพถ่ายแบบ 16 บิต มีทางเลือกให้ช่างภาพเวลาตกแต่งแก้ไขอย่างมหาศาล แต่ 8 บิตเองก็มีข้อดีถ้าเรานำมาใช้ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม บทความนี้จึงเป็นการพิสูจน์ความืดหยุ่นและคำแนะนำวิธีเลือกใช้งานที่ถูกต้อง
Bit Depth คืออะไร?

Bit คือ หน่วยที่ใช้แสดงผลข้อมูลในทางดิจิตอล ดังนั้น Bit Depth จึงใช้ในการอธิบายจำนวนบิตที่เกี่ยวข้องกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่น ถ้าเป็นเรื่องของเสียงก็ใช้แสดงถึงความละเอียดของช่วงคลื่นเสียง และถ้าเป็นภาพถ่ายก็หมายถึงความลึกหรือความมีมิติ (มีค่ามากก็มีมิติมาก)


Bit Depth สื่อถึงความเป็นไปได้ที่ภาพ ๆ หนึ่งจะมีสีอยู่ในภาพนั้นได้เท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าภาพนั้นจะต้องมีการแสดงผลได้เต็มที่ทุกสี เป็นเพียงการบอกว่าภาพที่มี Bit Depth มากกว่า ความละเอียดในการไล่เรียงสีจะทำได้ดีกว่าเท่านั้น

ขนาดของเกรนที่เหมาะสมทำให้ภาพมีรายละเอียดเพิ่มขึ้น

การแสดงผลข้อมูลของรูปภาพขาวดำ

กรณี 8 บิต 1 จุดพิกเซลในภาพขาวดำมีความเป็นไปได้ของรายละเอียดเท่ากับ 2 ยกกำลัง 8 (2x2x2x2x2x2x2x2 = 256 ช่อง) หมายความว่าการที่ภาพ ๆ นั้นจะไล่ระดับจากดำไปจนถึงขาว สามารถแบ่งออกเป็น 256 ระดับ (0-255 ให้นับเลข 0 ด้วย)

การแสดงผลข้อมูลของรูปภาพสี

1 จุดพิกเซลสีในรูปถ่ายเกิดจากการประกอบกันของ 3 แชนเนลแม่สีแสง ได้แก่ แม่สีแสง แดง-เขียว-น้ำเงิน ดังนั้นรูปถ่าย 1 รูป จึงมีความแปรเปลี่ยนของแชนแนลแม่สีแสงในแต่ละพิกเซลอยู่มากมายไม่เท่ากัน กรณี 8 บิต หมายความที่ภาพ ๆ นั้นจะไล่ระดับเฉดของแต่ละแชนแนลแม่สีแสง 256 ระดับ ซึ่งมากกว่ารูปภาพขาวดำ

การแสดงผลของรูปภาพสี

bits per channel และ bits per pixel

– bits per channel คือ ค่า Bit Depth ของแต่ละแชนเนลสี
– bits per pixel คือ ค่าผลรวมจำนวนบิตของทั้งสามแชนเนลสี

ยกตัวอย่าง : กล้องถ่ายภาพดิจิตอลส่วนใหญ่ ให้ความละเอียดภาพที่ 8 bits per channel หมายความว่าในแต่ละแชนเนลสีสามารถแสดงความเข้มข้นของในแต่ละแม่สีได้ถึง 2x2x2x2x2x2x2x2 = 256 หน่วย ซึ่งถ้าคิดเป็น bits per pixel ที่ต้องรวมทั้ง 3 แม่สีหลักเข้าด้วยกันเพื่อแสดงๆจำนวนเฉดสีมากที่สุดที่เป็นไปได้นั้น จะได้เป็น 2^(8×3) = 16,777,216 เฉดสี

ขั้นตอนพิสูจน์ขีดจำกัดของภาพ 8 บิตเทียบกับ 16 บิต ใน Photoshop

1. สร้างงานใหม่ขึ้นมาสองงานใน Photoshop ขนาดใดก็ได้ เทสีแบบแถบสีดำไปขาว (Gradient) ลงไป ให้งานแรกเป็นการทำงานแบบภาพ 8 บิต งานที่สองเป็นการทำงานกับภาพแบบ 16 บิต

2. กด Control + L (win)/ Command + L (mac) เพื่อเปิดหน้าต่าง Levels Editor ขึ้นมา ให้ใส่ค่า Output สีดำที่ 120 สีขาวที่ 140 แล้วกดตกลง

ขั้นตอนที่ 2 ให้ทำการบีบช่วงที่ Output Levels ตามรูป

3. สิ่งที่ผู้เรียนจะเห็นในตอนนี้คือสีเทาที่ไม่ต่างอะไรกันเลยไม่ว่าจะเป็นหน้าต่างของภาพแบบ 8 บิท และ 16 บิท

ขั้นตอนที่ 3 เราจะดึงไฟล์ให้ยืดโดยการกำหนด Input Levels ใหม่อีกครั้ง

4. เปิดหน้าต่าง Levels ขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ให้ใช้สเกล Input Levels ดึงสเกลสีดำไปทางขวา และดึงสเกลสีขาวไปทางซ้ายให้ชิดที่สุดแถวขอบฮิสโตแกรม ทำอย่างนี้ทั้งสองหน้าต่างจะพบว่า หน้าต่างของภาพ 8 บิต เกิดพิกเซลแตกเป็นช่องค่อนข้างชัดเจน

ผลลัพธ์ที่ได้ ภาพแถบสีที่กำหนดไว้แบบ 8 บิต จะเริ่มไปก่อนเพื่อน กล่าวคือความเรียบเนียนเริ่มแตกเป็นช่องๆตามที่เห็นครับ

เหตุผลก็ง่าย ๆ เพราะสายตาของมนุษย์ไม่สามารถแยกแยะอะไรที่มีความแตกต่างน้อยมาก ๆ ได้จนกระทั่งเราบีบมิติของเฉดสีให้ไล่เข้ามาจนถึงขีดจำกัดของภาพแบบ 8 บิต ในขณะที่ภาพแบบ 16 บิตยังมีช่วงสีที่กว้างอยู่มาก

สรุปได้ว่าในขณะที่เรากำลังถ่ายภาพแบบ RAW ไฟล์ จำนวนบิตที่มากกว่า 8 ก็ย่อมที่จะแสดงผลได้เนียนละเอียดกว่า (RAW บางค่ายก็มีตั้งแต่ 12, 14 บิต ปัจจุบันก็อาจจะสูงกว่านี้) และใน Photoshop ก็มีการขยายโหมดเป็น 16 bit (LR ก็ด้วย) สิ่งที่เราจะใช้ประโยชน์ได้จากโปรแกรมทำภาพนี้ก็คือแปลงให้เป็นภาพแบบ 16 บิตในขณะที่ปรับแต่งภาพ แล้วเมื่อแต่งภาพเรียบร้อยให้เซฟเป็น 8 บิต ไฟล์จะเสียหายน้อยกว่านั่นเอง

แบบนี้ก็ใช้ 16 บิตตลอดเลยดีกว่าไหม?

การนำรูปภาพเผยแพร่ในรูปแบบไฟล์ JPEG สามารถจุได้แค่ 8 บิต และมันเพียงพอต่อการนำเสนอหรือเผยแพร่บนสื่อออนไลน์ อีกทั้งไฟล์มีขนาดเล็กกว่า 16 บิตมากพอสมควร กรณีของรูปแบบไฟล์ 16 ควรอยู่ในฐานะไฟล์งานสั่งพิมพ์ในระดับซีเรียส หรืออยู่ในระหว่างขั้นตอนตกแต่งแก้ไขน่าจะดีกว่าครับ

บทความที่เกี่ยวข้องในหมวดนี้
ความแตกต่างระหว่างภาพ 8 บิต และ 16 บิต

ภาพถ่ายแบบ 16 บิต มีทางเลือกให้ช่างภาพเวลาตกแต่งแก้ไขอย่างมหาศาล แต่ 8 บิตเองก็มีข้อดีถ้าเรานำมาใช้ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม บทความนี้จึงเป็นการพิสูจน์ความืดหยุ่นและคำแนะนำวิธีเลือกใช้งานที่ถูกต้อง

ความเข้าใจเกี่ยวกับภาพ 8 บิต และ 16 บิต

ศึกษาความแตกต่างของภาพถ่าย 8 บิต และ 16 บิต เพื่อทำความเข้าใจว่าทำไมเราจึงควรทำงานกับภาพที่มีข้อมูลสูงก่อนนำมาแปลงเป็นข้อมูลที่เหมาะสมกับแหล่งเผยแพร่ต่างๆ

ภาพถ่ายคร่อมแสงเสมือนด้วยภาพถ่ายเพียงใบเดียว

พอจะมีวิธีอะไรบ้างที่สร้างภาพถ่ายช่วงการรับแสงกว้างๆ หรือภาพ HDR ได้โดยไม่ต้องเอาภาพที่มีแสงแบบต่างๆมารวมกันหลายๆใบ เนื้อหาส่วนนี้จึงสอนวิธีการทำภาพแบบนั้นที่ง่ายและสะดวกกว่ามากขึ้น

ร้านค้าออนไลน์ภายใต้ชื่อผู้ก่อตั้ง ‘Dozzo Flamenco’ ที่นี่จะมีผลิตภัณฑ์สื่อการสอนและเทรนนิ่งคลาสระดับคุณภาพเท่านั้น

บทความล่าสุด >>
เคล็ดลับการถ่ายภาพหมู่บุคคล

ศึกษากลวิธีที่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยหลักของเหตุและผลในการทำให้ภาพถ่ายหมู่ที่มีบุคคลจำนวนมากในเฟรมมีความน่าสนใจกว่าที่เคย

5 เหตุผลที่ช่างภาพอาชีพควรเรียน Lightroom Classic

Lightroom Classic มีจุดเด่นสำคัญในการบริหารจัดการรูปภาพ ตกแต่งรูปภาพ และเผยแพร่รูปภาพอย่างครอบคลุมทั้งระบบ คุณสมบัติเหล่านี้ช่วยให้ช่างภาพมีความสะดวกในการบริหารจัดการยิ่งต้องเจอกับรูปภาพที่เพิ่มเข้ามาจำนวนมากในแต่ละเดือน

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรังปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลวส่วนบบุคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึกการตั้งค่า