ตัวอย่าง เช่น ต้องการลบสิวแค่จุดๆเดียวให้เปลี่ยนเป็นเครื่องมือ Spot Healing Brush Tool (คีย์ลัด ‘J’) แล้ว กำหนดขนาดหัวแปรง (คีย์ลัด ‘[‘ หรือ ‘]’) จากนั้นให้เลือกโหมดการซ่อมแซมพิกเซลที่บาร์ตัวเลือก (Options Bar) ซึ่งมี 3 โหมดด้วยกัน ได้แก่ การทดแทนเนื้อหาอัจฉริยะ (Content-Aware), สร้างระเบียบพื้นที่ผิว (Create Texture) และ เกลี่ยให้เนียนด้วยค่าเฉลี่ยแบบเนื้อเดียว (Proximity Match)
กลุ่มเครื่องมือรีทัชใน Photoshop CC
จากนั้นจิ้มลงไปบนจุดที่ต้องการ Photoshop จะทำการเกลี่ยจุดบกพร่องนั้นด้วยพิกเซลส่วนใหญ่ของภาพ นอกจากนี้เครื่องมือดังกล่าวก็ยังใช้ลากเป็นเส้นยาวๆเหมือนแปรงกรณีที่ริ้วรอยมีความยาวหรือเป็นเส้นจึงเป็นสาเหตุให้คนส่วนใหญ่เชื่อว่าเพียงแค่เจ้าเครื่องมือนี้ก็ทำอะไรได้สารพัดแล้ว
บาร์ตัวเลือกของ Spot Healing Brush Tool
แต่ต้องบอกก่อนว่า Spot Healing Brush จะใช้ความฉลาดของโปรแกรมเป็นตัวตัดสินใจ เรียกว่าอะไรๆก็ฝากไว้กับโปรแกรม ถ้าใช้งานด้วยการลากแล้วไม่เวิร์ก ก็ลองใช้ซ้ำอาจจะได้ผลที่ดีขึ้น แต่ถ้ายังไม่ดีคุณก็ต้องพึ่งตัวเองแล้วล่ะนะ ซึ่งก็คือเครื่องมือถัดไป
เพื่อความแม่นยำในการทดแทนพิกเซลที่มากขึ้น Healing Brush Tool เป็นเครื่องมือที่ซ่อนอยู่ภายใต้กล่องเครื่องมือรีทัชทั้งหลาย (สลับโหมดเครื่องมือสำหรับการรีทัชไปได้เรื่อยๆด้วยคีย์ ‘Shift + J’) จะมีความยุ่งยากเพิ่มอีกนิดหน่อยนั่นก็คือการกำหนดพื้นที่ๆจะนำมาทดแทนพื้นที่ปัญหานั้นเสียก่อน ด้วยการกด Alt + คลิก (Windows)/Option + คลิก (Machintosh) เพื่อนำพื้นที่นั้นๆมาทดแทน
บาร์ตัวเลือกของ Healing Brush Tool
โดยคุณสมบัติของ Healing Brush Tool จะไม่ใช่การนำพื้นที่มาแทนเอาดื้อๆนะครับ แต่จะคำนึงถึงโทนและน้ำหนักของบริเวณแก้ไขนั้นมาคำนวนด้วย ทำให้การแก้ไขภาพเป็นไปด้วยความแม่นยำและตรงตามความต้องการของผู้ใช้มากขึ้น
ผลลัพธ์ของเครื่องมือรีทัชให้ดูที่หน้าผากนะครับ
นี่ก็เป็นเพียงความแตกต่างคร่าวๆของสองเครื่องมือนี้ แน่นอนว่าถ้าเราสามารถแยกแยะความสามารถของแต่ละเครื่องมือที่สร้างมาด้วยเหตุผลที่ต่างกันได้ การรีทัชแก้ไขภาพจะเป็นไปด้วยความแม่นยำและง่ายดายมากขึ้น