สเกล Vibrance นั้นฉลาด เวลาใช้งานก็ราบรื่นสวยงามกว่าสเกล Saturation เพราะมันจะตรวจสอบว่าเมื่อใดก็ตามที่สีใดสีหนึ่งมีความอิ่มตัวอย่างพอดีแล้วจะไม่มีการเพิ่มเติมสีลงไปอีก ส่วน Saturation จะไม่มีการเฝ้าระวังการล้นของสีที่เกิดจากการเร่งใดๆเลย เราจึงพบว่าสเกล Vibrance จึงรักษาสีผิวของภาพถ่ายพอร์ทเทรตได้ดีกว่า ในขณะที่สเกล Saturation ผิวจะแดงส้มรุนแรงผิดมนุษย์ไปเลย
ความจริงข้อนี้ แม้ไม่มีความรู้เรื่องสีใดๆมาก่อนก็สามารถเข้าใจได้ง่าย โดยผู้สอนจะขออนุญาตใช้โปรแกรม Lightroom Classic CC เป็นตัวอย่างในการเพิ่มสเกลสองสเกลดังกล่าว กับภาพตัวอย่างด้านล่างนี้ครับ
ภาพตัวอย่างที่ปรากฏในคลิป
เห็นว่าภาพด้านล่าง เป็นการไล่เฉดสีซึ่งเราคงทราบดีแล้วล่ะว่าจะมีสีอยู่สองประเภทหลักๆ คือสีที่ไม่สามารถถูกผสมให้เป็นตัวมันได้ เราเรียกว่า ‘แม่สี’ ยกตัวอย่างเช่นในระบบแสงสีก็คือ แดง-เขียว-น้ำเงิน ในระบบสีวัตถุธาตุคือ แดง-เหลือง-น้ำเงิน และสีที่เกิดจากการผสมของแม่สีแสงมากกว่า 1 ขึ้นไป เช่นในระบบสีวัตถุธาตุ สีส้มเกิดจากสีแดงผสมกับสีเหลือง กล่าวได้ว่าสีส้มเป็นสีที่มีอิทธิพลมาจากสีมากกว่า 1 นั่นเองครับ
Vibrance จัดการความอิ่มตัวโดยใช้ความสัมพันธ์สี
Vibrance เป็นสเกลความสดใส ก็คือความอิ่มตัวที่ฉลาดมากขึ้น โดยมันจะมีการวิเคราะห์ถึงค่าความอิ่มตัวของแต่ละสีอยู่อย่างตลอดเวลา ทำให้เวลาใช้งานเราจะพบว่าภาพก็ไม่ได้ขี้เหร่มากเท่า Saturation ต่อให้เราเร่งสเกลไปสูงสุด
Saturation จัดการความอิ่มตัวของทุกสี
Saturation หรือ ความอิ่มตัว ชื่อก็อย่างที่บอกอยู่แล้วว่าจัดการความอิ่มตัวของสี ดังนั้นการไปเพิ่มมันแบบเต็มๆย่อมส่งผลทั้งสีที่เป็นแม่สี และสีที่เกิดจากการผสมไปด้วย โดยไม่ต้องไปเข้าใจค่ายูนิตตัวแปรที่เพิ่มก็เห็นได้ด้วยตาว่ามันล้นแน่ๆถ้าใช้มากเกินไป วิธีนี้ไม่ฉลาดนักถ้าจะเอามาใช้แต่งภาพโดยไม่เฝ้าระวังส่วนใดๆเลย
ภาพซ้ายใช้สเกล Vibrance 100 หน่วย ภาพขวาใช้ Saturation 100 หน่วย