ความหมายของคำว่า ‘ขีดจำกัดการมองเห็น’ คือการที่เราเห็นว่าตรงไหนคือส่วนที่ขาวแล้วดำมากที่สุดในฉาก หากเทียบความสามารถในการมองเห็นจากดวงตามนุษย์กับกล้องบันทึกภาพแล้ว กล้องบันทึกดิจิตอลมีขีดจำกัดไม่มากเท่าสายตามนุษย์
รายละเอียดเดิมในซีนที่เคยเห็น อาจมีบางอย่างหายไปเมื่อมองด้วยกล้อง
ถ้าบันทึกภาพเคลื่อนไหวในสภาพแสงที่คุมไม่ได้จึงมีโอกาสสูงที่พบส่วนมืดหรือสว่างเกินไปในฉาก ทางเลือกที่ดีที่สุดคือรักษาส่วนสำคัญของเนื้อหาภาพเอาไว้ (เรียกว่า Optimum Exposure)
สิ่งที่เห็นบนหน้าจอมักเชื่อไม่ค่อยได้เพราะจอมือถือต่างค่ายกันสีก็ต่างกันแล้ว แถมความสว่างบนหน้าจอมักลวงตาว่าส่วนที่สว่างที่สุดถูกตีความว่าเป็นสีขาว ในเมื่อเรายอมรับปัญหาในตรงนี้ ฮิสโตแกรมแบบ Live View ที่เกิดจากการแตะส่วน Time Recording ด้านล่างของหน้าจอแอปพลิเคชันจะเป็นการเปิดคุณสมบัตินี้ขึ้นมา มีอยู่ 3 แบบ ด้วยกันดังนี้
กราฟแสดงข้อมูล 3 แบบใน FilMicPro
Luminosity Histogram : ฮิสโตแกรมแสดงถึงข้อมูลโดยรวมปรากฏตามส่วนสว่างและส่วนมืด
RGB Histogram : ฮิสโตแกรมแสดงถึงข้อมูลสีในแต่ละแชนเนลปรากฏตามส่วนสว่างและส่วนมืด
Waveform Monitor : กราฟแจกแจงค่าระดับความสว่างในแนวนอนจากล่างขึ้นบน
สัญลักษณ์การวัดแสงของแอปพลิเคชัน FilMic Pro ปรากฎในรูปแบบสัญลักษณ์วงกลม (Riding Exposure) สัญลักษณ์นี้เลื่อนไปมาได้อิสระทั่วทั้งจอภาพ และจะเลือกเอาส่วนที่วงกลมนี้วางทับอยู่เป็นเกณฑ์ของการมองเห็นว่า ‘ภาพควรจะสว่างหรือมืด’ โดยใช้ค่าเทากลาง 18% เป็นเกณฑ์ เช่น ถ้าไปวางบนสีดำ ภาพจะสว่างขึ้นจนจุดสีดำกลายเป็นเทากลาง 18% ถ้าไปวางบนสีขาว ภาพจะมืดลงจนสีขาวนั้นกลายเป็นเทากลาง 18%
วงกลมจะเป็นสีขาว ให้แตะแล้วลากทันทีไปยังส่วนต่างๆของภาพ แอปพลิเคชันจะทำการคำนวนอัตโนมัติว่าภาพควรมืดลงหรือสว่างขึ้น ไม่ควรแตะสัญลักษณ์นั้นนานเกินไปเพราะจะทำให้สู่โหมด ‘การวัดแสงแบบกำหนดเอง’ (Manual Light Metering)
สามารถทำได้โดยการลากวงกลมวัดแสงไปยังจุดที่ต้องการ จากนั้นแต่สัญลักษณ์วงกลม 1 ครั้ง วงกลมจะกลายเป็นสีแดง ซึ่งต่อให้จะหันมุมกล้องไปทางไหนแสงก็จะไม่แกว่งไปมาอีกแล้ว ส่วนการปลดล็อกการวัดแสงคงที่ให้แตะสัญลักษณ์วงกลมที่หน้าจออีกครั้งหนึ่ง