“อุปสรรคที่เกินทน จะหลอมคนให้ทนทาน ความสบายที่ยาวนาน จะรอนรานความเป็นคน”
…
คนเราจะมองเห็นบางสิ่งมีคุณค่าก็ต่อเมื่อเราให้คุณค่ากับมัน หลายปีมานี้ผู้สอนพยายามค้นหาคำตอบของการถ่ายภาพที่ให้คุณภาพที่ดีที่สุดโดยปราศจากภาระด้านน้ำหนักที่มากเกินไป แม้ว่าคำอธิษฐานลมๆแล้งๆต้องแลกกับข้อจำกัดอย่างมากมาย จนในที่สุด Sigma DP3 Quattro ก็ได้ถือกำเนิดมาด้วยคุณภาพของภาพถ่ายอันเหลือเชื่อ พร้อมข้อจำกัดท้าทายกระแสนิยมราวกับว่าถ้าอยากมีประสาทสัมผัสทางหูที่ดีจะต้องแลกด้วยการยอมเป็นคนตาบอดอย่างนั้น ยิ่งในยุคที่ไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้ความอดทนเล็กๆน้อยๆแล้วแบบนี้ กล้องรุ่นดังกล่าวจึงเลือนหายไปจนแทบไม่มีใครจดจำ
บทความนี้ไม่ใช่การพูดถึงข้อดีข้อเสีย ตรงกันข้ามมันคือการตอบคำถามว่า “ต้องเป็นคนแบบไหนถึงใช้กล้องตัวนี้ได้”
นี่คือเรื่องราวของ Sigma DP3 Quattro ผ่านมุมมองของคนใช้งานจริงทั้งวัน ตั้งแต่วันที่ 12/12/59 – 28/04/60 และจะยังคงใช้ต่อไปจนกว่าจะสิ้นอายุขัยของมันเอง
Sigma DP3 Quattro กับ LCD Viewfinder Kit
ที่มา [Cliffon Cameras]
DP Quattro กับรูปลักษณ์ที่แปลกตา
กล้องถ่ายภาพดิจิตอล Sigma ซีรี่ย์ DP Quattro มีรูปลักษณ์ที่ต่างไปเมื่อเทียบกับกล้องถ่ายภาพดิจิตอลที่เคยพบเห็น รูปทรงแบนยาวและทำมุมโค้งคล้ายทรงกระดูกดูล้ำสมัย งานประกอบแน่นหนา ในรุ่นของ DP3 Quattro มาพร้อมกับเลนส์มาโครทางยาวโฟกัส 50mm (เทียบเท่า 75mm บนเซ็นเซอร์ฟูลเฟรม) รูรับแสงกว้างสุด 2.8 น้ำหนัก 495 กรัม (ไม่รวม LCD Viewfinder)
ทางยาวโฟกัสที่ส่งผลต่อมุมรับภาพ
DP Quattro ทั้งซีรี่ย์ไม่มีช่องมองภาพกระจกแบบ Optical Viewfinder และไม่ง่ายที่จะมองจากจอ LCD เมื่ออยู่กลางแจ้ง ควรติดตั้งชุดอุปกรณ์ช่องมอง (LCD Viewfinder) แบบถอดเข้าออกง่ายไว้เสมอ
Foveon เซ็นเซอร์ที่ให้รายละเอียดดีมากที่สุดในขณะนี้
ก่อนอื่นคงต้องทำความเข้าใจกันสักนิดว่า เซ็นเซอร์ที่กล้องถ่ายภาพดิจิตอลโดยส่วนใหญ่ใช้กันอยู่ หรือที่เรียกว่า Bayer Sensor จะมีการเรียงตัวของชั้นฟิลเตอร์ แดง-เขียว-น้ำเงิน (RGB Color Filters) แบบสลับไขว้ไปมาในรูปแบบของตำแหน่งพิกเซลตาราง
ด้วยความที่ไม่ว่าจะตำแหน่งใดบนหน้าแปลนเซ็นเซอร์ก็ตามจะไวกับแม่สีแสงเพียงแม่สีเดียว ข้อมูลของแต่ละแม่สีที่ได้รับจึงไม่ใช่ความละเอียดแบบเต็มๆที่ควรจะได้รับ (พิกเซลสีเขียวจะวางมากเป็นสองเท่าของพิกเซลสีแดงและน้ำเงิน เพราะเป็นคลื่นแสดงที่รายละเอียดภาพได้ดีกว่า) ผลที่เกิดขึ้นจากการรับข้อมูลในลักษณะตารางประกบ ความชาญฉลาดของหน่วยประมวลจึงต้องรับหน้าที่นี้ไป เรียกว่าการสังเคราะห์สีเทียบเคียงจะเกิดขึ้นมากถึง 2/3 ของภาพ ในขณะที่ Foveon ไม่ต้องสังเคราะห์อะไรเลย
การเรียงตัวของชั้นฟิลเตอร์สีแบบ Foveon เป็นแบบเต็มๆซ้อนกันถึงสามชั้น คล้ายกับฟิล์มถ่ายรูปที่มีชั้นเคลือบความไวแสงครบทุกชั้นอยู่ในตัวเดียว ภาพที่ได้จึงเกิดจากการรับแสงๆ 100% ในทุกชั้นฟิลเตอร์สี มีคนบอกว่าเป็นกล้องที่ให้รายละเอียดยิบย่อยได้เหมือนฟิล์มอย่างไม่น่าเชื่อ และรายละเอียดที่ซับซ้อนขนาดเล็กเช่นลายของเสื่อ หรือภาพตารางต่างๆก็ไม่มีข้อบกพร่องอย่างที่เซ็นเซอร์ทั่วไปพบเจอเลยแม้แต่น้อย
Foveon Sensor (Code Name : “Merrill”) ใน Sigma ซีรี่ย์ Merrill ที่ผ่านมา
แต่ดูเหมือนว่าทาง Sigma เองพยายามที่จะปรับเปลี่ยนและพัฒนาให้กล้องถ่ายภาพดิจิตอลในรุ่น Quattro มีการทำงานที่ดีและไวขึ้น จึงได้ทำการออกแบบอาร์เรย์ฟิลเตอร์เสียใหม่ โดยที่ลดความหนาแน่นของชั้นกรองสีเขียวและสีแดงลงเหลือเพียง 1 ใน 4 ของชั้นสีน้ำเงิน โดยกล่าวว่าชั้นสีน้ำเงินนั้นให้รายละเอียดมากที่สุด ผลที่ดีได้คือกล้องในซีรี่ย DP Quattro จะมีรายละเอียดน้อยกว่าซีรี่ย์ Merrill และแลกมาด้วยความไวแสงที่เพิ่มขึ้น พร้อมกับการทำงานส่วนต่างๆที่ไวขึ้นเล็กน้อย
Foveon Sensor (Code Name : “Quattro”) ใน Sigma DP3 Quattro
Sigma DP Quattro ใช้เซ็นเซอร์ขนาด APS-C
เซ็นเซอร์ที่มีเทคโนโลยีในการพัฒนาเท่ากันแต่ขนาดต่างกัน เซ็นเซอร์ที่มีขนาดใหญ่กว่าจะรับแสงได้มากกว่า ผลดีก็เช่นข้อมูลภาพทำได้ดีกว่าและคุณภาพสูงกว่าเซ็นเซอร์ขนาดเล็กกว่า แต่ต้องไม่ลืมว่าเทคโนโลยีของ Sigma คือ Foveon 3X ที่ให้รายละเอียดภาพมากกว่าปกติราวๆ 3 เท่า จึงชกข้ามรุ่นกับเซ็นเซอร์ขนาด Full Frame ได้สบาย
ด้านล่างนี้เป็นขนาดของเซ็นเซอร์ที่มีในปัจจุบันโดยจะเริ่มให้เซ็นเซอร์ขนาด Full Frame เทียบเท่าฟิล์มเนกาทีฟขนาด 35มม. ของกล้องฟิล์มเป็นขนาดที่ใหญ่สุด (ความจริงมีใหญ่กว่านี้อีก) ไล่ขนาดลงไปเรื่อยๆจนเล็กสุด
ขนาดเซ็นเซอร์ของ Sigma DP Quattro คือ APS-C
เทคนิคการเพิ่มความคล่องตัวและความแม่นยำในการใช้งาน
Sigma DP3 Quattro เป็นกล้องที่ใช้งานยากกว่าปกติทั่วไปอย่างรู้สึกได้ ไม่ว่าจะเป็นแบตเตอรี่ที่หมดเร็วมาก, ISO ที่เริ่มแย่ตั้งแต่ 400 หรือระบบโฟกัสที่เชื่องช้าจนบางครั้งหมุนเองยังดีเสียกว่า
เทคนิคด้านล่างนี้เป็นตัวอย่างคร่าวๆจากหลักสูตรพิเศษ “ถ่ายกับมือ” (Handheld Mastery) ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้การเพิ่มศักยภาพของตัวผู้ใช้งานเพื่อควบคุมหรือหยิบใช้งานกล้องถ่ายภาพดิจิตอลเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง เทคนิคดังกล่าวใช้ได้ดีในทุกสถานการณ์ ทำให้กล้องที่คิดว่าไม่น่าจะพกทั้งวันได้เลยอย่าง Sigma DP3 Quattro กลายเป็นกล้องที่เหมือนจะไม่ได้สร้างความเดือดร้อนอะไรเท่าไหร่นัก
การฝึกฝนความนิ่งของมือด้วยตนเอง (Handheld Self-Stabilization)
มีเทคนิคที่แตกย่อยออกไปมากมายเพื่อการถ่ายภาพให้นิ่งสนิทซึ่งจะต้องแยกออกมาเพื่อลงรายละเอียดเพิ่มเติมอีก เช่น การเปลี่ยนท่าถือกล้องให้เหมาะสมกับกล้องแต่ละชนิด หรือ การทำร่างกายให้พร้อมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับสมาธิชั่วขณะ สิ่งเหล่านี้เกิดผลลัพธ์ได้จริงแต่ควรเลือกใช้ให้เหมาะสม
ด้านบนนี้คือตัวอย่างคร่าวๆในแบบฝึกหัดที่ผู้ลงทะเบียนหลักสูตร Handheld Mastery จะได้ฝึกฝนกัน