เวลาที่ถ่ายภาพมาแล้วรายละเอียดในส่วนมืดมองไม่ค่อยเห็น เรามักจะนึกถึงสเกล Shadows เป็นลำดับแรก แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นมีวิธีการอีกมากมายในการกู้รายละเอียดภาพให้กลับมาได้ โดยที่ใน DozzDIY Live Show วันที่ 16 พฤษภาคม 2560 ที่ผ่านมาก็ได้อธิบายไปพอสังเขป และเนื้อหาในบทความนี้คือภาคขยายของเทคนิคดังกล่าวครับ
“ฮิสโตแกรมของภาพถ่าย” สิ่งจำเป็นในการพิจารณารายละเอียด
ฮิสโตแกรมของภาพถ่าย (Image Histogram) มีไว้เพื่อแสดงปริมาณข้อมูลของพิกเซลสีในช่วงค่าแสงต่างๆไล่จากส่วนที่มืดที่สุด (ด้านซ้ายสุด) ไปยังส่วนที่สว่างที่สุดของภาพ (ด้านขวาสุด) โดยที่ใน Lightroom CC มีการแบ่งส่วนต่างๆโดยกำหนดชื่อเรียกในแต่ละโซนออกเป็น 5 ช่วงโซน ได้แก่ Blacks (สีส่วนมืดดำ), Shadows (สีส่วนเงา), Exposure (สีส่วนกลางและค่าการรับแสง), Highlights (สีส่วนสว่าง) และ Whites (สีส่วนขาวจ้า)
หากข้อมูลทั้งหมดที่ปรากฏในกราฟนี้เป็นความสามารถของเซ็นเซอร์ที่บันทึกภาพได้ในขณะนั้น ข้อมูลพิกเซลที่หลุดออกไป (Clipping) ไม่ว่าจะซ้ายหรือขวาก็ดี เราจะถือว่าเป็นสิ่งที่นอกเหนือความสามารถเบื้องต้น ซึ่งต้องใช้วิธีการกู้ข้อมูลส่วนดังกล่าวด้วยโปรแกรมตกแต่งภาพถ่าย และเนื้อหาต่อไปนี้จะแสดงวิธีที่ผู้สอนใช้บ่อยๆในการพิจารณาการกู้รายละเอียดของภาพกลับมาด้วย Adobe Photoshop Lightroom CC ครับ
วิธีที่ 1 : สมดุลแสงขาว (White Balance)
สมดุลแสงขาวมีผลอย่างมากกับสีตั้งต้นที่มีในภาพ เช่น ท้องฟ้าที่มีสีฟ้าเข้มหรือในวันแดดแรง การเลื่อนสเกลที่มากเกินไปย่อมไม่ส่งผลดีต่อรายละเอียดที่ปรากฏดังภาพตัวอย่าง สีแดงบริเวณท้องฟ้านั้นมีไว้เพื่อแจ้งเตือนการหลุดของรายละเอียดจนเป็นสีขาวจ้า (ข้อมูลทางด้านขวาของฮิสโตแกรมหลุดออกไปจำนวนมาก) วิธีแก้ไขเบื้องต้นต้องเพิ่มอุณหภูมิสีให้อุ่นมากกว่านี้เพื่อทำให้เมฆบนท้องฟ้ากลับมา
อย่างไรก็ตามการแก้ไขสมดุลแสงขาวกับภาพภูมิทัศน์ให้ผลลัพธ์แบบกลางๆ ควรคำนึงถึงความแตกต่างของพื้นที่ในโซนภาพเพื่อแยกทำงานในระดับที่ละเอียดกว่านี้สำหรับผลลัพธ์ที่ดีมากยิ่งขึ้น
วิธีที่ 2 : ค่าการรับแสงโดยรวม (Exposure)
Adobe Lightroom มีสเกล Exposure เพื่อใช้ควบคุมสีส่วนกลางภาพ ในปัจจุบันสเกลดังกล่าวมีความชาญฉลาดมากขึ้นในการเพิ่มลดความสว่างของเม็ดพิกเซลในแต่ละโซนโดยคำนึงถึงความเหมาะสมทำให้เกิดความนุ่มนวลของโทนภาพเมื่อใช้ สเกลนี้ค่อนข้างง่ายดายในการเพิ่มลดความสว่างให้กับภาพ และเป็นตัวทดสอบความยืดหยุ่นของไฟล์ RAW จากกล้องดิจิตอลในการไล่โทนได้เป็นอย่างดี
วิธีที่ 3 : คู่สเกลสีส่วนสว่างกับสีส่วนเงา (Highlights & Shadows)
Highlights & Shadows ถือเป็นสเกลคู่แบบ HDR ปลอมๆเลยก็ว่าได้ เพราะเพียงแค่ใช้งานสองสเกลที่ว่ามานี้เราจะได้ภาพที่มีรายละเอียดสูงขึ้นทันที เริ่มจากกำหนดให้ Highlights เป็นลบมากที่สุดเท่าที่จะได้รายละเอียดในส่วนสว่างกลับมามากที่สุดและเพิ่มปริมาณสเกล Shadows สวนไปให้มากที่สุดเช่นกัน ภาพที่ได้จะดูแปลกตาเพราะปริมาณรายละเอียดที่เพิ่มขึ้นจากการทำงานควบสองสเกล
วิธีที่ 4 : คู่สเกลสีส่วนมืดดำกับสีส่วนขาวจ้า (Blacks & Whites)
สเกล Blacks และ Whites นิยมใช้กู้ข้อมูลรายละเอียดภาพที่หลุดในโซนเล็กๆแต่มีความรุนแรงของความขาวและดำมากๆ ข้อเสียของสเกลสองสเกลนี้คงเป็นปริมาณข้อมูลที่กู้กลับมาได้น้อยกว่า Highlights และ Shadows แต่เมื่อใช้ประสานกันได้อย่างเหมาะสมแล้วจะช่วยให้เกิดความกลมกลืนของลำดับโซนภาพได้เป็นอย่างดี
วิธีที่ 5 : ความเปรียบต่างสมมาตรและเส้นเคิร์ฟ (Contrast & Tone Curve)
สเกล Contrast นั้นเหมาะสมสำหรับผู้ใช้งานเบื้องต้นที่ต้องการลดความเปรียบต่างโดยรวมของโซนภาพ สเกลตัวนี้ทำงานเท่าๆกันทั้งในส่วนที่สว่างสุดให้มืดลงและมืดสุดให้สว่างขึ้นโดยไม่มีทางเลือกอื่น เมื่อไรที่ต้องการอิสระมากกว่านี้จึงจำเป็นต้องใช้ Tone Curve เพราะเราเลือกกำหนดจุดใดให้มีความสว่างหรือมืดได้ โดยที่เส้นเคิร์ฟจะรักษาสมดุลโทนภาพเอาไว้อย่างพอดี
วิธีที่ 6 : มิติของสีสันในภาพ (Vibrance – Saturation – HSL)
สีหนึ่งสีมีทั้งมิติของสีสัน (Hue), ความสว่าง (Luminance) และความอิ่มตัว (Saturation) ใน Lightroom CC ให้ทำการปรับแต่ง ทั้งหมดนี้นั้นยังขึ้นอยู่กับการกำหนดกรอบของสีที่ไม่เท่ากันในแต่ละสเปซสี เริ่มจากความเข้าใจง่ายๆอย่างสีส้มที่เกิดจากสีเหลืองและสีแดง การที่เราไปเร่งทั้งสามสีพร้อมๆกันนั้นสีส้มจะเกิดการล้นขึ้นก่อนเป็นแรก (เพราะการเพิ่มของสีแดงและเหลืองทำให้สีส้มเพิ่มขึ้นด้วย)
สเกล HSL คือความอิสระที่อาจควบคุมได้ยากสักเล็กน้อยถ้าไม่เข้าใจมากพอ ในขณะที่การเลื่อนสเกล Vibrance นั้นง่ายกว่าเพราะมีการตรวจสอบการล้นของสี ส่วน Saturation เป็นการเพิ่มความเข้มดื้อๆให้กับภาพโดยไม่คำนึงถึงอะไรเลย การลดสเกลดังกล่าวนี้จึงทำให้ได้รายละเอียดกลับมานั่นเอง
Vibrance เป็นทางเลือกที่ดีกว่า Saturationในหลายกรณี
(เครดิตภาพที่มา จาก Ron Chartcharat)