ฮิสโตแกรม เป็นแผนภูมิแสดงแท่งกราฟชนิดหนึ่งที่ใช้วัดความถี่ของสิ่งที่เรากำลังสนใจ ฮิสโตแกรมของภาพถ่าย จึงเป็นแผนภูมิกราฟที่ใช้วัดความถี่ของเม็ดสีในรูปแบบของปริมาณพิกเซลที่ปรากฏในภาพ ประโยชน์จากแผนภูมิดังกล่าวเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เราสามารถคาดเดาพฤติกรรมของภาพนั้นๆได้ รวมไปถึงการดูรายละเอียดที่ปรากฏอยู่ในภาพว่าเป็นไปตามต้องการหรือไม่ สามารถประยุกต์ใช้ได้กับการ แต่งภาพ Lightroom
ความเข้าใจโดยง่ายเกี่ยวกับฮิสโตแกรมของภาพถ่าย
ภาพถ่ายภาพหนึ่งประกอบด้วยเม็ดสีกระจายตัวไปตามตำแหน่งต่างๆจนก่อเกิดให้เป็นภาพถ่าย ซึ่งเมื่อนำมาจัดเรียงกันภายใต้ข้อกำหนดของแผนภูมิ โดยที่เม็ดสีที่มีความสว่างต่ำสุดจะอยู่ทางด้ายซ้ายไล่ไปจนถึงเม็ดสีที่มีความสว่างสูงสุดจนเป็นสีขาวจะอยู่ทางด้านขวา (แกน X คือ ความเข้มข้นพิกเซล) และความสูงของข้อมูลนั้นหมายถึงปริมาณความหนาแน่นของพิกเซล (แกน Y คือ ปริมาณของพิกเซล)
ฮิสโตแกรมของภาพถ่ายโมโนโครม
จากภาพตัวอย่างเป็นภาพที่มีช่องสี่เหลี่ยมแบบ 4×4 ซึ่งถ้านับสี่เหลี่ยมขนาดเล็กที่เป็นสีขาวและสีดำแล้ว จะได้สีขาวจำนวน 12 ช่องและสีดำ 4 ช่อง เมื่อนำมาแสดงให้อยู่ในรูปของฮิสโตแกรมแบบ 1 บิต (สองยกกำลัง 1) ด้วยคำจำกัดความด้านบนก็จะได้ดังภาพ
ทีนี้ลองเปลี่ยนเป็นตัวอย่างที่ยากขึ้นมาอีกนิด เราจะยังคงอยู่กับตารางแบบ 4×4 เหมือนเดิม แต่คราวนี้สิ่งที่เปลี่ยนไปคือจะมีสีที่อยู่ระหว่างสีดำกับสีขาว อย่างสีเทาดำและสีเทาขาวเพิ่มขึ้นมา กำหนดให้ภาพตารางนี้มีลักษณะการแสดงผลแบบ 8 บิต (2 ยกกำลัง 8 เท่ากับ 256 คือ 0-255 ไล่จากดำไปขาว) ก็จะได้ภาพดังตัวอย่าง (หมายเหตุ : มีสีที่ไม่ได้แสดงอยู่ในช่วงด้วยไม่ต้องงงนะ)
ฮิสโตแกรมของภาพถ่ายสี
แสงในธรรมชาติประกอบไปด้วยแม่สีแสงสามแม่สีด้วยกัน ได้แก่ แดง, เขียว และน้ำเงิน แต่ละแม่สีแสงเมื่อแปลงให้อยู่ในลักษณะภาพขาวดำ (ที่กำหนดโดยสีขาวหมายถึงมีการปะปนของแม่สีแสงในส่วนนั้น และสีดำหมายถึงไม่มีแม่สีแสงในส่วนนั้น) การแสดงฮิสโตแกรมของแม่สีแสงในแต่ละแม่สีแสงจึงต้องแยกออกเป็นสามส่วนด้วยกันดังตัวอย่าง
การวิเคราะห์ฮิสโตแกรมของภาพถ่ายโมโนโครม
ฮิสโตแกรมของภาพความเปรียบต่างต่ำ และ ความเปรียบต่างสูง